วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

บวชชีกันดีกว่า

 
(บทความบางส่วนของ ปัญหาภิกษุณีในยุคสิทธิเสรีภาพฯ) เจษฎา กันตเมธี
ที่มาของการบวชชี
เมื่อปัญหาของคนฐานะดีจบไปก็อาจอ้างต่อได้อีกว่า สตรีจำนวนไม่น้อยที่ยากจนไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สะดวกเพราะต้องทำงานเลี้ยงชีพฯ เรื่องนี้เป็นสิ่งน่าเห็นใจและไม่ควรเพิกเฉยจริงๆ หลายคนมองว่าเพราะประเด็นนี้เองคือเรื่องความตั้งใจในการบวชของสตรีกอปรกับอุปสรรคเรื่องพระธรรมวินัย ปราชญ์ในอดีตจึงเลือกวิธีรักษาทั้งสองอย่างคือน้ำใจและวินัย ส่งผลให้ คิดหาทางออกโดยการให้บวชเป็นแม่ชีแต่ก็ยังน่าเสียดายที่สถานภาพนี้ต่ำเกินไป ไม่ได้รวมเข้าในภิกษุณีบริษัทตามที่มักกล่าวอ้างกัน คือจัดเป็นอุบาสิกาผู้รักษาศีล ๘ เท่านั้น(ความจริงผู้เขียนเองกลับไม่เห็นความสำคัญในเรื่องสถานะภาพนี้) เป็นไปได้ว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความน้อยใจคือการที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงการตั้งมั่นและผู้จะรักษาพุทธศาสนาโดยฝากเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททั้ง ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา คนส่วนใหญ่จะมองภิกษุและภิกษุณีผู้เป็นนักบวชว่าสูงส่ง และมองอุบาสกอุบาสิกาว่าต่ำต้อย ดังนั้นการได้เป็นแค่อุบาสิกาจึงด้อยเกินไป ความจริงหากพิจารณาเรื่องสามเณรก็คงไม่ต่างกัน คือสามเณรก็มิได้รวมอยู่ในการเป็นภิกษุและไม่มีให้สังกัดประเภทใดเลยใน ๔ ประการนั้น(แย่กว่าแม่ชีเสียอีกที่ยังสังกัดได้ในกลุ่มอุบาสิกา) แต่บริษัทในที่นี้ที่พระพุทธเจ้าหมายถึงคือทุกคนที่นับถือพุทธศาสนานั่นเองจะมีส่วนในการทำนุบำรุงและเผยแพร่คำสอนของพระองค์ฯ(รวมถึงการได้รับประโยชน์คือการบรรลุธรรม) ประเด็นสำคัญจึงเป็นว่าไม่น่าจะเกี่ยวด้วยเรื่องสถานะภาพ แต่กลายเป็นการยอมรับของคนไทยส่วนใหญ่นั่นเอง ผู้เขียนสันนิษฐานว่าการเรียกร้องให้มีการบวชภิกษุณีนี้มีจุดประสงค์เพื่อยกสถานภาพของสตรีให้กลายเป็นที่ยอมรับมากกว่าการเรียกร้องเพื่อบรรลุธรรม นั่นคือความเป็นแม่ชีต้องกลายเป็นเสมือนคนรับใช้พระ คอยจัดแจงอาหารถวายพระสงฆ์และที่สำคัญถูกสังคมมองว่าเป็นสถานภาพที่ต่ำ คล้ายคนไม่มีทางออกให้ชีวิตหวังพึ่งพาวัดฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้สำหรับความคิดคน แต่ก็ขึ้นอยู่กับแม่ชีเองที่เลือกที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะแม่ชีจำนวนไม่น้อยเมื่อบวชมาแล้วตั้งใจศึกษาและปฏิบัติจนเป็นที่ยอมรับของสังคมก็มี กล่าวคือหากบวชมาแล้วตั้งใจศึกษาปฏิบัติจริงก็จะได้รับการยกย่องจากสังคมไปเองโดยไม่ต้องร้องขอฯ
จุดยืนของผู้เขียนเรื่องการบวชภิกษุณีและแม่ชี
(๑)ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธหากจะมีการเรียกร้องให้สามารถบวชภิกษุณีได้ตามเหตุผลที่ยกอ้างแล้วข้างต้นว่าการจะรักษาคำสอนแบบเถรวาทนั้นก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเรายอมเปลี่ยนแปลงหลักการหลายอย่างตามสังคม แต่ประเด็นภิกษุณีกลับยืนยันไม่เปลี่ยนแบบหัวชนฝา ซึ่งหากการบวชภิกษุณีสามารถยกสถานภาพของสตรีให้ดีขึ้นได้และเป็นช่องทางเปิดโอกาสให้กว้างมากขึ้นกับการศึกษาและปฏิบัติธรรม การบวชภิกษุณีก็น่าให้การสนับสนุน (ไม่ได้หมายถึงแก้พระไตรปิฎก แต่ยอมให้มีการบวชเหมือนประเด็นการรับเงินของภิกษุ)
(๒)หากคณะสงฆ์หรือคนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับที่จะเปลี่ยนหลักการก็ให้ใช้วิธีปัจจุบันคือสังกัดเป็นนิกายของมหายาน แต่ทั้งฆราวาสและพระสงฆ์ที่มีอิทธิพลในสังคมควรให้การยอมรับและช่วยกันให้ความรู้แก่ชาวบ้านว่าแม้จะเป็นมหายานแต่ก็เป็นภิกษุณีสงฆ์และควรให้ความสำคัญเช่นกันฯ ประเด็นก็จะตามมาว่า นิกายอื่นจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยอีกฯ (เรื่องนี้ชี้เจตนาของผู้เรียกร้องจะบวชได้ชัดเจนว่ามิได้ต้องการบรรลุธรรมเป็นหลัก เพราะนิกายไหนก็บรรลุธรรมได้ แต่ต้องการเป็นเถรวาทเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคมไทยจริงๆ บางท่านถึงกับอ้างว่าให้ทุกคนกลับไปหาพระพุทธเจ้าคือไม่มีนิกาย มีแต่พุทธศาสนาแท้ตามพระไตรปิฎก ก็จะเป็นการขัดกับการเรียกร้องที่จะเป็นภิกษุณีเถรวาทอยู่ดี ไฉนเมื่อไม่อยากมีนิกายจึงยังไม่พอใจกับมหายานแล้วอยากเป็นเถรวาทอีกเล่า? อีกประการหนึ่งหากจะกลับไปหาพระพุทธเจ้าจริงคือยึดพระไตรปิฎก การโต้เถียงเรื่องภิกษุณีก็จบไปเพราะต้องเอาตามพระวินัยฯ) ฉะนั้นถ้ายังจะยืนยันเป็นภิกษุณีเถรวาทจริงๆ ทางเลือกเดียวคือต้องยอมให้บวชโดยยอมรับว่าเราเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามหลักการของเถรวาทนั่นเอง เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่เป็นอุปสรรคหากทุกคนยอมรับได้และจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม เพราะการเข้าถึงธรรมอยู่ที่ความตั้งใจจริงในการปฏิบัติฯ
(๓) หากไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เสนอไปแล้วทั้ง ๒ ข้อต้นได้เลยก็ควรมีการส่งเสริมให้บวชเป็นแม่ชี แต่ปัจจัยสำคัญคือการยกสถานะภาพแม่ชีให้เป็นอิสระมากขึ้นไม่เป็นเพียงคนรับใช้พระ นั่นคืออาจให้มีการตั้งวัดขึ้นมา(เหมือน เสถียรธรรมสถานฯ) แยกแม่ชีออกจากวัดที่มีพระ แม่ชีทั้งหลายบริหารปกครองกันเองตามธรรม ส่งเสริมเรื่องการศึกษาและปฏิบัติธรรม ทำวัดให้เป็นศูนย์ให้ความรู้ธรรมะแก่ผู้คนในชุมชน เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้น จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเหมือนพุทธกาล ประเด็นสำคัญคือต้องแสดงให้ผู้คนเห็นถึงเจตนาที่บริสุทธิ์ของตนในการบวชและความตั้งใจจริงในการศึกษาปฏิบัติ พระสงฆ์ก็พยายามให้ความรู้พุทธศาสนาที่แท้จริงแก่ประชาชน เช่นเรื่องการหาความรู้ การเสียสละ ฯลฯ โดยให้ผู้คนไม่เลือกที่จะเคารพเฉพาะตนด้วยความเชื่อว่าเป็นผู้สูงส่งหรือบุญเขต(คือทำบุญแล้วได้รับผลมากที่สุด) แต่ควรแนะนำให้ผู้คนรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือทุกคน(โดยเฉพาะแม่ชีที่ออกบวชจากเรือน) สื่อมวลชนก็นำเสนอสาระที่ดีและเป็นประโยชน์ของทุกฝ่ายเสมอกัน คือมีทั้งพระทั้งแม่ชี(ที่มีความรู้)ในการสั่งสอนธรรมทางโทรทัศน์เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมไทยก็จะยอมรับนับถือสตรีมากขึ้นเอง
กล่าวโดยสรุปผู้เขียนไม่เห็นว่าการอนุญาตให้บวชภิกษุณีเป็นเรื่องที่เลวร้ายจนไม่สามารถทำได้ อีกอย่างหนึ่งการบวชภิกษุณีก็ไม่ได้มีความจำเป็นหากต้องการบรรลุธรรม นั่นคือผู้เขียนไม่มีอะไรต้องถกกับสองประเด็นข้างต้นเพราะเห็นว่ามิใช่ปัจจัยสำคัญ เรื่องที่ควรพิจารณาคือรูปแบบของพุทธศาสนาไทยในปัจจุบันเองต่างหากที่ควรได้รับการแก้ไขก่อน นั่นคือทำให้เป็นพุทธศาสนาแท้หรือเถรวาทแท้โดยการใช้มาตการทางพระธรรมวินัยเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์ให้ได้ เมื่อพระสละลาภ ยศ อำนาจ ตำแหน่งเป็นต้นได้แล้วหันมาศึกษาพระศาสนาและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง สามารถสอนธรรมะที่ถูกต้องแก่ประชาชนเพื่อความสุขในการดำรงชีวิตปัจจุบันตลอดจนการพ้นทุกข์ จากนั้นจะให้มีการบวชภิกษุณี บวชชี หรือแม้แต่บวชพระเองก็จะน่าอนุโมทนา แต่หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ถึงบวชเข้ามาได้(แม้แต่พระ)ก็จะยิ่งพากันหลงทาง ใช้เวลาอยู่กับการต้อนรับผู้คนที่มาท่องเที่ยวหรือเอาผ้าป่ามาถวาย นั่งสะแกนกรรมดูอดีตชาติคนอื่น สร้างกันแต่วัตถุอาคารหรือเทศน์สอนเอาใจคนเพื่อตนจะได้โด่งดัง ซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยแก่พุทธศาสนาแถมยังเป็นการปิดทางบรรลุธรรมของตนเองเสียอีกเพราะดำรงชีพแบบมิจฉาอาชีวะ
ความอ่อนแอเดิมของสังคมไทยที่ไม่มีตัวเลือก
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยทั้งในแง่ประชาธิปไตยหรือพุทธศาสนาเองก็ตามคือ คนไทยส่วนใหญ่มิได้เป็นคนมีความรู้และขาดแคลนปัญญาชนที่จะนำเสนอข้อมูลหรือความถูกต้องแก่ผู้คนได้ คนส่วนใหญ่เองก็เหมือนจะใช้ชีวิตไปวันๆโดยไม่ยอมพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นสาระไม่เป็นสาระ ความจริงพุทธศาสนาก็คล้ายกับประชาธิปไตย คือเราไม่สามารถทำให้เกิดประชาธิปไตยได้เพียงเพราะแก้รัฐธรรมนูญหรือระบุไว้ว่าประเทศเป็นประชาธิปไตย เพราะมิเช่นนั้นก็จะสามารถทำให้ทุกประเทศมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้เลยเพียงคัดลอกรัฐธรรมนูญของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไปมอบให้ฯ  แต่ประชาธิปไตยจะเกิดจากการที่คนในประเทศนั้นรู้ความจริง เข้าถึงข้อมูล สามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยตนเอง(โดยไม่ต้องมีผู้ใดมาชักจูง)และเปิดใจอภิปรายรับฟังความเห็นของกันและกัน พุทธศาสนาก็เช่นกัน มิใช่เพียงอ้างว่าเป็นเถรวาทแล้วจะเป็นเถรวาทแท้ แต่ผู้คนจะต้องรู้จักพระไตรปิฎก เข้าใจหลักการแท้ของพุทธศาสนา กลายเป็นคนมีเหตุผลพร้อมจะรักษาหลักการเดิมเพื่อป้องกันการบิดเบือนคำสอนที่ถูกต้องฯลฯ
นับแต่อดีตมา คนไทยรู้จักเฉพาะพุทธศาสนาเถรวาท(ที่กล่าวอ้างชื่อนี้กัน) ไม่มีนิกายอื่น(ถึงมีก็น้อยและมักไม่ค่อยให้ความสำคัญที่จะศึกษาเรียนรู้)ให้เปรียบเทียบ หากเทียบกับประชาธิปไตยคือมีนักการเมืองพรรคเดียวหรือสองพรรคฯ ซึ่งต่างจากตะวันตกเช่นอเมริกา ถนนสายหนึ่งประกอบด้วยวัดไทย ทิเบต พม่า กัมพูชา อินเดีย ศรีลังกา ญี่ปุ่นฯลฯ และยังไม่รวมศาสนาอื่นอีก ทำให้ฝรั่งมีตัวเลือกมาก นั่นคือวัดใดที่ตนเข้าไปสัมผัสแล้วสอนไม่เป็นเหตุเป็นผล งมงาย หลอกลวงด้วยวัตถุมงคล หรือพิธีกรรมฯลฯ ก็จะถูกทอดทิ้งหรือคว่ำบาตรไปเอง ส่วนวัดที่สอนธรรมะได้ดี มีการปฏิบัติวิปัสสนาซึ่งเห็นผลจริงฯ วัดนั้นก็จะดำรงอยู่ได้อย่างผาสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับผลักดันหรือบังคับให้แต่ละฝ่ายต่างเสนอหลักการ(สาระธรรม)ที่ดีของตนสู่ชาวโลก ซึ่งน่าเสียดายที่คนไทยไม่มีโอกาสเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อสังคมเจริญขึ้น การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารก็มากขึ้น กอปรกับเมืองไทยคล้ายจะมีนิกายใหม่เพิ่มขึ้น(เช่น สันติอโศก ธรรมกาย หรือพุทธวจนะ)สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้คนไทยเปิดใจได้กว้างมากขึ้นได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การที่ยอมให้มีภิกษุณีหรือยกย่องสถานะของแม่ชี แต่อยู่ที่การไม่ยอมรับฟังหรือเปรียบเทียบสาระจากผู้อื่นเลย เพราะจะทำให้ติดที่ไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ เราไม่จำต้องกลัวว่าเมื่อรับพิจารณาแล้วต้องเปลี่ยนแปลงเสมอไป สิ่งใดเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็รับเอา สิ่งใดมีโทษก็ทิ้งไปเสียฯ
จุดประสงค์ วัดที่เหมาะสมและข้อปฏิบัติในการบวชชี
เพื่อให้บทความนี้มีประโยชน์แก่ผู้ที่ประสงค์จะบวชชี จึงขอชี้แจงรายละเอียดเรื่องแม่ชีบ้าง วัตถุประสงค์ในการบวชชีอาจมีหลายอย่างตามผู้ที่ประสงค์จะบวช เช่น แก้บน สะเดาะเคราะห์(หมอดูแนะนำมา) หรือเป็นประเพณีของบางท้องที่ที่เด็กผู้หญิงทุกคนต้องบวชชีอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต(ผู้เขียนไม่มีเวลาอธิบายเรื่องเหล่านี้ว่าไม่ดีและไร้สาระอย่างไร แต่อยากให้ถามตัวเองกันว่า ไฉนการทำความดีสักอย่าง เราจะต้องรอให้มีคนมาทักหรือบีบบังคับ บ้างก็เพราะกลัวภัยอันตรายมีความตายเป็นต้น เราไม่สามารถทำความดีด้วยความตั้งใจและความบริสุทธิ์ใจของเราเองได้เลยหรือ?) เป้าหมายเหล่านี้ไม่ได้เลวร้ายแต่ก็ไม่ทำให้ผู้บวชได้ปัญญาเหมือนกัน นั่นคือบวชเพราะความเชื่อ(เป็นมิจฉาสัทธา) พุทธศาสนาสอนเรื่องศรัทธาเช่นกัน แต่เป็นสัมมาสัทธาคือทำให้ผู้นั้นเกิดแรงบันดาลใจในการอยากเรียนและปฏิบัติฯ ดังนั้นแรงบันดาลใจในการบวชที่ดีที่สุดคือการอยากศึกษาพุทธศาสนาและปฏิบัติธรรมแต่หากไม่สามารถทำให้เกิดแรงบันดาลใจเช่นนี้ได้เพราะมีจุดประสงค์คือการแก้บนเป็นต้นก็ไม่เป็นไร เพียงแต่เมื่อบวชมาแล้วให้ดำเนินชีวิตตามนี้คือใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการศึกษาและปฏิบัติ (พึงทราบว่าการบวชมาอยู่เฉยๆ นั่งพูดคุยสนทนากัน หรือทำงานวัดทั้งวันเช่นถักด้ายข้อมือ ทำตะกรุดฯลฯ ล้วนไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยกับการเข้ามาบวช) การที่จะมีโอกาสศึกษาและปฏิบัติธรรมได้นั้นผู้บวชต้องพิจารณาปัจจัยอีกข้อหนึ่งคือ
วัดที่เหมาะสม  จะต้องมีพระ(หรือหัวหน้าแม่ชี)ที่มีการศึกษาทำหน้าที่เผยแผ่พุทธศาสนาและมีความรู้ด้านการปฏิบัติ(สังเกตได้ว่าพระปฏิบัติจะมีจริยวัตรที่งดงาม และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของขลัง ยศอำนาจฯ)หากยังหาไม่ได้ก็ไม่ควรตัดสินใจบวชมั่วเพียงเพราะอยากแก้บนให้สำเร็จ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า ในกรณีที่เป็นวัดของพระสงฆ์ก็ควรมีการแบ่งเขตพระสงฆ์และแม่ชีให้ชัดเจน(ไม่อยู่คลุกคลีกัน)ฯ
ข้อปฏิบัติในการบวชชี ต้องทราบว่าความเป็นจริงแม่ชีมิได้เป็นนักบวชที่ผ่านอุโบสถทำสังฆกรรมเหมือนพระสงฆ์ (สามเณรก็ใช้วิธีบวชเช่นเดียวกับแม่ชี เพียงแต่เคร่งครัดเรื่องพระอุปัชฌาย์มากกว่า) กล่าวคือเป็นการบวชที่ง่าย เรียกว่าเป็นติสรณคมณูปสัมปทาก็ได้ คือการกล่าวรับเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือที่ระลึก(หมายความว่าจะเชื่อและทำตามพระรัตนตรัยเท่านั้น ไม่ใช่ของขลัง หมอดูหรือคนทรงเป็นต้น) เมื่อกล่าวคำรับเอาพระรัตนตรัย(พุทธํ สรณํ คจฺฉามิฯ)แล้ว บางที่อาจให้มีการท่องคำขอบวชชี (สาระของบทสรุปว่าเป็นการขอรับเอาพระรัตนตรัยและให้พระสงฆ์จำไว้ว่าผู้นั้นได้บวชในพระธรรมวินัย) จากนั้นก็มีการสมาทานเอาศีล ๘ ไปปฏิบัติ มักมีคำถามว่าควรจะโกนผมดีหรือไม่? คำตอบคือควรโกนทิ้งเสีย(มิใช่เพราะบรรลุธรรมง่าย) เนื่องจากการบวชเป็นการเสียสละที่ต้องวัดใจผู้บวช นี้เป็นข้อดีคือทำให้การบวชชีไม่เป็นของง่ายเกินไปที่ใครจะทำก็ได้ จนไม่เห็นคุณค่า เราต้องยอมรับว่าสตรีเป็นเพศที่รักสวยรักงาม ส่วนใหญ่ไม่สามารถตัดสินใจโกนผมตนเองได้ (ไม่ต้องพูดถึงภิกษุณีว่าไฉนมีจำนวนน้อย) ความจริงการโกนผมทิ้งยังเอื้อต่อการดำรงชีพของแม่ชีเองด้วย นั่นคือลดความหน้าตาดีลง ทำให้ตนไม่เย่อหยิ่งและไม่เป็นที่ดึงดูดใจของผู้พบเห็นมีพระสงฆ์เป็นต้นฯ  การบวชแบบติสรณคมณูปสัมปทานี้ไม่จะเป็นต้องบวชกับพระด้วยซ้ำ(แต่ก็นิยมกันจนเข้าใจผิดกันว่าหากไม่บวชในวัดหรือบวชกับพระก็จะไม่เป็นแม่ชี) แน่นอนว่าหากจะดำรงชีวิตเป็นแม่ชีแบบยาวนานหรืออยากได้รับการรับรองว่าเป็นแม่ชีเพื่อใช้อ้าง/แสดงแก่สังคมก็ต้องยอมรับข้อนี้คือควรหาพระที่โด่งดังหรือวัดที่ใหญ่โตในการบวช แต่หากประสงค์เพียงรักษาศีล ๘ และตั้งใจปฏิบัติธรรม จะบวชที่ไหนก็ได้ รวมถึงบวชเองที่บ้านและปฏิบัติธรรมที่บ้าน (ภาคใต้หลายวัดมีการอนุญาตให้บวชในวัด แต่เมื่อบวชเสร็จก็ให้ไปอยู่ที่บ้าน อาจเป็นเพราะต้องการตัดข้อครหาเรื่องพระอยู่ร่วมกับแม่ชีในวัด) เหตุที่กล่าวว่าบวชที่ไหนหรือกับใครก็ได้ เพราะการบวชประเภทนี้เป็นแต่การสมาทานรักษาศีลเท่านั้นเองซึ่งจะทำที่ไหนกับใครก็ได้ เพราะคนที่ต้องรักษาศีลหรือปฏิบัติธรรมคือผู้บวชเอง มิใช่คนที่ตนไปขอบวช กล่าวคือต่อให้มีพระอุปัชฌาย์เป็นถึงเจ้าคุณก็ไม่ได้มีส่วนอะไรกับผู้บวช เพราะเรื่องปฏิบัติเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล  เช่นเดียวกันเมื่อต้องการลาสิกขา(สึก) หากบวชกับพระสงฆ์ก็สามารถเข้าไปลาและขอลาสิกขากับท่านได้ ส่วนผู้ที่สมาทานเอาเองที่บ้านก็ให้เปลี่ยนเป็นสมาทานศีล ๕ ตามเดิมโดยไม่จำต้องมีพิธีกรรม จัดดอกไม้ธูปเทียนอะไรเลย สำหรับผู้ประสงค์จะบวชระยะสั้น ผู้เขียนแนะนำให้ใช้วิธีบวชที่บ้านอันจะได้ประโยชน์และเป็นการบวชที่เสียสละมากกว่า(อาจไม่ต้องโกนผมก็ได้เพราะไม่เป็นที่ต้องตาใครฯ) การบวชที่บ้านไม่ได้เป็นการอวดผู้อื่นและหากตั้งใจปฏิบัติจริงก็ได้ผลเช่นกัน ส่วนผู้ประสงค์จะอยู่นานเช่นเป็นปีหรือตลอดชีวิต เพื่อความอุ่นใจเรื่องเอกสารรับรองเป็นต้นหากต้องเดินทางไกล ก็ควรเข้าไปหาวัดที่ดีซึ่งมีคุณสมบัติตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นการบวชที่ไหน แบบไหน ผู้บวชต้องไม่ลืมอุดมการณ์ตนเองคือการศึกษาและปฏิบัติธรรม ส่วนสิกขาบทหรือศีลแม้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับการรักษา ดังนั้นต้องตระหนักเรื่องศีลให้ดี หากเห็นว่าไม่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่ได้(ซึ่งข้อที่ล่วงละเมิดนั้นมีความสำคัญต่อการเป็นนักบวช เช่น เรื่องการมีเพศสัมพันธ์ การลักขโมย ก็ไม่ควรดำรงตนเป็นแม่ชีอีก แต่ให้ลาสิกขาเสียเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพระศาสนาฯ
..............................................................................

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การยึดพุทธพจน์


จดหมายถึง คุณ อรชุน แก้วกังวาล ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕
ยินดีมากครับ ที่ได้อ่านบทความโยม ผมได้ความรู้หลายอย่างจากบทความนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรมฮินดูที่ตกทอดมาในสายเลือดชาวไทยพุทธฯลฯ ขอชื่นชมกับความรู้เหล่านี้ครับ และคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกคนฯ ความจริงพระสงฆ์ในทัศนะที่โหดร้าย หวังผลประโยชน์เป็นต้นนั้นก็ไม่ทุกรูปนะครับ น่าจะมีพระดีเหลืออยู่อีกสัก ๐.๕ เปอเซนต์ ฮ่ะๆๆ (ตกลงผมมองแง่ลบมากกว่าโยมอีก?....ที่บอก ๐.๕ เปอเซนต์นั้นวัดตามรายชื่ออีเมลล์ซึ่งส่งต่อไปถึงท่านเหล่านั้นด้วย อาจเป็นพระอยู่ในกรุงเทพซัก ๒-๓ รูป เรียนอยู่ศรีลังกา ๑ รูป คิดว่าพระเหล่านี้ต่อไปอาจเป็นกำลังช่วยเหลือพระศาสนาได้...หรือบางท่านอาจเป็นสายให้กับโล้นซ่าฯ แอบอ่านจดหมายเราอยู่แล้วหาทางกำจัดเราไปซะก่อนก็ไม่ทราบ ฮิๆๆๆ) ส่วนผมเองก็ไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งอะไรหรอกครับ ยังใช้ชีวิตด้วยความผาสุก หรืออาจมีบ้างก็ไม่ทราบครับ เพราะไม่เคยสนใจว่าใครจะมากลั่นแกล้งหรือจะมาเชิดชู(ไม่ใช่เป็นอรหันต์อยู่เหนือโลกธรรมนะครับ แต่เพราะมีกิจมาก เช่นต้องศึกษา/ปฏิบัติธรรม และเขียนบทความเป็นต้นเพิ่มสัมมาทิฏฐิให้ชาวบ้าน จึงไม่มีเวลาสนใจรับรู้เรื่องเหล่านั้น) ขอกล่าวถึงประเด็นสำคัญนะครับ ก่อนอื่นอยากให้แน่ใจก่อนว่า เรามีความคิดไปทำนองเดียวกัน ซึ่งหากไม่ตรงก็ต้องขออภัยด้วย(เผื่อบางทีเป็นพันธมิตรกันตั้งนาน เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเห็นไปคนละทางโดยมิได้ทำความเข้าใจกันฮิๆๆ) และคิดว่าหากต่างฝ่ายต่างมีเจตนาดีต่อพุทธศาสนา(ทั้งต่อตัวเอง)แล้ว แม้ไม่ตรงก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ครับฯ  
เรื่องการยึดแนวทาง(คำสอน)ของพระพุทธเจ้า อันนี้ที่โยมพูดมาตรงและถูกต้องทุกอย่างแล้วครับ ผมเพียงแต่อยากเปิดใจนิดหน่อย(แก่ผู้อ่านท่านอื่น)เท่านั้นเอง ดังที่โยมบอกว่าปัญหาตอนนี้อยู่ที่คนไม่ยอมเอาคำพระพุทธเจ้ามาใช้(หรือแม้แต่คิดจะศึกษา) พากันเชื่อและประกอบพิธีกรรมที่งมงายฯลฯ ตรงนี้ถูกต้องเลยครับ อยากบอกว่าความจริงเมืองไทยมีชาวพุทธ ๒ ฝ่ายมานานแล้ว ๑. คือคนเชื่องมงายไม่สนใจเหตุผลความถูกต้องดังตัวอย่างแหละครับ ๒. คนที่ยึดพุทธพจน์ คำพูดพระพุทธเจ้าอย่างเหนียวแน่และไม่สนใจคำพูดของผู้อื่นเลยฯ
ประเภทแรกชัดเจนอยู่แล้ว ขออธิบายอันที่ ๒ นี้นะครับ ว่าความจริงผมเองไม่ได้จัดตัวเองอยู่ในคนประเภทนี้นะ เพราะคนประเภทนี้เยอะมากที่รับคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยอาศัยความเชื่อ/ศรัทธา (ความจริงใช้คำว่าความเชื่อก็ไม่ถูก เพราะพุทธศาสนาความเชื่อจะควบคู่ไปกับปัญญา หรือเอื้อแก่สัมมาวายามะคือการกระทำ) ศรัทธาที่กล่าวถึงนี้อาจใช้ภาษาฝรั่งได้ว่า Blind faith นั่นคืออะไรก็ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฎก หรือให้ดีกว่านั้นเป็นคำพูดพระพุทธเจ้า (ขึ้นต้นด้วยคำว่า ดูกรภิกษุ ดูกรอานนท์ฯลฯ) ต้องถูกเสมอและชาวพุทธต้องยอมรับโดยดุษฎีฯ ผมไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าไม่ดีนะครับ ข้อเสียอยู่ตรงที่คนเหล่านี้ต่อให้จับของดีก็ไม่เข้าใจความหมายและไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ที่แย่กว่านั้นคือนำไปสู่การปฏิเสธคำสอนของผู้อื่น(แม้ถูกต้อง) เพราะเหตุว่าไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องยอมรับว่าแม้พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้เลิศที่สุด แต่ ๑) ไม่ได้หมายความว่า คำสอนคนอื่นจะต้องผิดหมด เรื่องนี้มีให้เห็นในพระสูตรเยอะมาก ว่าพระพุทธเจ้าก็ยอมรับคำสอนผู้อื่นหากกล่าวถูกต้องแล้ว เช่นเรื่องชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ให้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาแล้วเบื่อหน่ายในกามคุณเสียฯ (อรกานุสาสนีสูตร อังคุตตระนิกาย) ข้อ ๒). แม้ความสามารถพระพุทธเจ้าไม่จำกัด แต่การตรัสเทศนาของพระพุทธเจ้าถูกจำกัดด้วยบริษัท คือต้องดูอุปนิสัยคนที่ฟัง เช่นถ้าเขาเป็นคนโง่(มีปัญญาน้อย) เทศนาก็เหมาะสำหรับคนโง่ บางครั้งพระสูตรนั้นพระสูตรเดียวให้ข้อมูลไม่ครบ เช่นสอนเรื่องการให้ผลของกรรม ก็ต้องตรัสว่า ให้ผลในปัจจุบัน ชาติหน้า และชาติถัดๆไป (เท่านั้น) ซึ่งถ้าจะยึดเอาพระดำรัสนี้เป็นตัวชี้ขาดเรื่องกรรมก็ถือว่าผิดพลาดมาก เช่นเรื่ององคุลีมาล การฆ่าคนมาเกือบพัน หากพูดตามหลักกรรมแล้วต้องชดใช้กันมาก เผลอๆชาตินี้อย่างเดียวไม่พอ ต้องชาติหน้าหรือชาติต่อๆไปด้วย (ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้) แต่ผลสรุปคือ องคุลีมาลไม่ต้องรับกรรม(ที่สาหัสหรือสาสมแก่กรรม)ที่ตนได้ทำนั้น เพียงแค่โดยไม้ โดนก้อนหิน หัวแตก เลือดออกเป็นต้น นั่นคือกรรมทั้งหมดขององคุลีมาลถูกอรหันตมรรคตัดจนขาดแล้ว (เป็นอโหสิกรรม...กรรมที่ให้ไม่ให้ผลอีกแล้ว) การบรรลุธรรมเป็นการตัดภพชาติ ถ้าท่านไม่บรรลุธรรม ยังเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องมีโอกาสให้กรรมตามสนองภพใดภพหนึ่งได้ แต่เมื่อท่านไม่เกิดอีก ก็ไม่ต้องไปรอรับผลที่ไหนอีกแล้วนั่นเอง (ความจริงข้อนี้ก็รับรองโดยพระพุทธเจ้าว่า มรรค เป็นหนทางตัดกรรมที่ดีที่สุด) ดังนั้นการสอนเรื่อง อโหสิกรรม ก็ถูกต้องเช่นกันแม้ไม่ได้อยู่ในพระสูตรข้างต้นซึ่งยกเฉพาะผลของกรรมเพียง ๓ อย่าง(ดังบอกว่าพระสูตรมีข้อจำกัด) ผมอยากสรุปตรงนี้ว่าคนที่ยึดมั่นในพุทธพจน์หลายคนก็ไม่ยอมรับเรื่องอโหสิกรรมนี้ กล่าวแต่เพียงเป็นมติของอรรถกถาจารย์ โดยมิได้พิจารณาแยกแยะความเป็นจริงเลยฯ และนี่ก็เป็นข้อเสียของคนยึดพระพุทธเจ้าแบบไม่มีปัญญาครับ
ที่ยกตัวอย่างเหล่านี้มาเพียงเพื่อชี้ให้เห็นว่า จริงๆแล้วผมไม่ได้ยกย่องคนยึดพุทธพจน์นะครับ การทำเช่นนั้นมันง่ายมาก เพียงแต่ก็อบข้อความจากพระไตรปิฎกมาพูดหรือเขียนเป็นหนังสือขายก็ได้เงินแล้ว ที่สำคัญไม่ผิดอีกต่างหาก ระบุไว้ว่าใครไม่เห็นด้วยก็ให้ไปเถียงกับพระพุทธเจ้าเอาเอง (ตกลงคนเหล่านั้นต้องการเพียงผลประโยชน์ตนเท่านั้น) ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ ซึ่งเรื่องนี้โยมก็ได้พูดไว้แล้วว่าภาษาธรรมะเป็นภาษาที่เข้าใจยากสำหรับคนทั่วไป(ดูตัวอย่างในหนังสือธรรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาสเป็นต้น....แต่ท่านพุทธทาสไม่ใช่คนประเภทนั้นนะครับ สังเกตจากการที่ท่านสามารถเทศน์สอนด้วยภาษาที่ง่ายได้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง)ฯ แต่ก็ใช่ว่าจะรังเกียจคนยึดพุทธพจน์ อย่างน้อยมองในแง่ดีเขาก็มีหลัก เป็นชาวพุทธที่อาศัยศรัทธา(เหมือนกับศาสนาของพระเจ้าทั่วไป) ที่จะทำให้เขาได้อ่านหนังสือหรือพระไตรปิฎกบ้าง เผื่อมีโอกาสดีๆ วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นคนรู้จักคิดและหาความเข้าใจ/ความจริงเรื่องนั้นต่อได้(ความจริงแบบมีเหตุมีผลนะครับ ไม่ใช่ความจริงว่าตรงกับคัมภีร์เล่มอื่นหรือเปล่า จะได้เชื่ออย่างสนิทใจฮิๆๆ)
(คนประเภทที่ ๓)ส่วนผู้ที่ยึดพระไตรปิฎกด้วยและหาความเข้าใจไปด้วยก็ยิ่งน่าอนุโมทนาครับ แต่คนเหล่านี้ไม่ค่อยมีให้เห็น เหตุผลคือเพราะถ้าพยายามหาความเข้าใจหรือยึดความถูกต้อง เขาก็จะไม่ผูกตัวเองอยู่กับพระไตรปิฎกอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่จะสนใจสิ่งถูกต้องและเป็นประโยชน์ทุกอย่าง(ที่จะช่วยในการพัฒนาชีวิตได้)
คนที่ผมอยากสนับสนุนมากที่สุดก็คือคนประเภทหลังที่กล่าวมานี่แหละครับ คือไม่ผูกขาดตัวเองอยู่กับความเชื่อ แน่นอนว่าชาวพุทธต้องเคารพพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็แนะนำให้พิสูจน์พระองค์ก่อนเชื่อ บ้างก็ตรัสว่า....วิธีการรับข้อมูลที่ดีที่สุด(ไม่ว่าคำสอนในศาสนาใด) ต้องอย่ารีบรับเสียทันที ขณะเดียวกันก็อย่าปฏิเสธเสียทันที ให้ดีที่สุดต้องเห็นคุณเห็นโทษในสิ่งนั้นก่อนฯ เรื่องนี้โยมก็เข้าใจดีอยู่แล้ว สังเกตจากการวิเคราะห์ในบทความ นั่นคือเราจะบอกว่าสิ่งใดผิดถูกต้องมีเหตุผลมารองรับฯ มาถึงตรงนี้แล้วพอสรุปได้นะครับว่าผมเป็นคนอย่างไร ยึดพุทธพจน์หรือไม่ยึดฯ.....และตรงกับโยมมากแค่ไหน.....(ต้องให้โยมตัดสิน เพราะผมเองก็ไม่ทราบ)
สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดไม่ได้เป็นพวกนอกรีต หรือพวกหาผลประโยชน์ เช่นหลอกชาวบ้าน หาเงิน รีดไถบุญ สะเดาะเคราะห์ฯลฯ ตามที่เราทราบกันอยู่นะครับ คนเหล่านั้นจะจัดการกับเขาง่ายมาก (ถ้าเขาไม่ส่งมือปืนมาจัดการเราเสียก่อน ฮิๆๆๆ) โดยการเปิดเวทีโต้วาทะกันสักยก ปัญหาก็จบครับ เพราะคนผิดเถียงอย่างไรเขาก็ผิด(แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่มีใครจะยอมทำในสิ่งที่ตนเสียผลประโยชน์)ฯ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือพวกยึดพุทธพจน์นี่เองฯ เพราะเขามีความมั่นใจมากว่าการกระทำของเขาถูกต้อง มีพุทธพจน์รับรอง สามารถอ้างที่มาจากพระสูตรได้(โดยที่ตนไม่เข้าใจและพุทธพจน์บางที่ก็มีข้อจำกัดตามที่อธิบายไปแล้ว) คนประเภทนี้ไม่ต้องการความถูกต้องอย่างอื่น ใช้คำพูดที่ต่างไปจากพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ เช่น ฌาณ ที่๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘..... ด้วยเหตุผลว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสคำเหล่านี้ ตรัสแต่เพียงว่า อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะเป็นต้น เราลองนึกภาพดูว่าการใช้คำจะส่งผมอะไรมาก พระพุทธเจ้าอนุโลมให้ใช้ภาษาของถิ่นนั้นๆด้วยเหตุผลว่าจุดประสงค์ของการสอนธรรมคือทำให้เขาเข้าใจธรรมเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติเท่านั้นเอง จะมีประโยชน์อะไรหากใช้คำหรูแต่ผู้ฟัง(หรือรวมทั้งผู้พูด)ไม่เข้าใจฯ และสาวกหรือบริษัทที่ส่งเสริมแนวคิดประเภทพุทธวจนะนี้ก็จะไม่ชื่นชมยินดีกับการแสดงธรรมแบบอื่นอีกแล้ว(ต่อให้เข้าใจง่ายและมีสาระ) เพราะฝังความคิดไว้แล้วว่า ใครๆก็ไม่ดีเท่าพระพุทธเจ้าฯ
ตกลงคนยึดพุทธพจน์ที่ผมหมายถึงในที่นี้คือ คนที่เอาแต่ท่องจำหรือถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยไม่สนใจความรู้หรือความเข้าใจทั้งแก่ตนเองและผู้ฟัง อาศัยศรัทธา(ความเชื่อแบบ Blind faith) เป็นตัวนำทาง เช่น พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ธรรมเป็นอกาลิโก พระสงฆ์เป็นสุปฏิปันโน(โดยไม่ทราบว่าที่เป็นเช่นนั้นเนื่องด้วยเหตุผลใด และตนควรทำอย่างไรที่จะปฏิบัติให้เป็นเช่นนั้นบ้าง เอาแต่เคารพ บูชา กราบไหว้โดยยึดเป็นสรณะที่ดึงตนเองลงต่ำ มิใช่ไม้ยัน ๓ ขา ดังที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ฯ)
ที่ไม่เห็นด้วยกับคนประเภทที่ ๒ คือยึดพุทธพจน์นั้น เพราะความจริงคนเหล่านี้ในเมืองไทยมีมากมานานแล้วครับ สิ่งที่เห็นชัดอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้ทำให้ศาสนาดีขึ้นเลย แน่นอนว่าสามารถรวบรวมกลุ่มชนได้เป็นกลุ่มใหญ่เช่นกัน (เพราะการรวมกลุ่มทุกประเภทสามารถทำได้ ขอให้ปลุกศรัทธาคนขึ้นมาเท่านั้น คนที่ไม่มีความรู้ต้องอาศัยศรัทธาเป็นหลัก) แต่สิ่งใดที่ไม่ให้ความสำคัญกับความเชื่อ อาศัยปัญญาหรือวิจารณญาณเป็นสำคัญ (ดังตัวพุทธศาสนาแท้) ก็เป็นที่รวมคนได้ยาก เพราะคนส่วนใหญ่(เราต้องยอมรับว่า) ไม่มีปัญญา พร้อมที่จะเชื่อแบบงมงาย หากได้ยินว่าบริจาคเงินแล้วได้บุญก็จะทำโดยไม่ต้องทราบว่า บุญเกิดจากการกระทำแบบใดฯ
จึงอยากสรุปดังนี้นะครับ ว่าการรวมตัวเป็นพันธมิตรกันที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จนั้นดีมากครับ และเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริม แม้บางเรื่อง(ที่เน้นให้คนใช้ปัญญา)จะยากมากก็ตาม แต่หากพยายามก็ทำได้ฯ อยากให้ดูกรณีของคณะนิติราษฏร์ เริ่มแรกตั้งตัวขึ้นใหม่ผู้คนก็รับไม่ได้(เพราะขัดกับความเชื่อเก่าฯลฯ) แต่พอนานเข้าก็สามารถให้ความรู้คนได้มากขึ้นจนเติบโตเป็นที่ยอมรับของคนส่วนหนึ่งได้ ทั้งที่บางท่านเองก็ยอมรับว่า ได้เขียนบทความให้ความรู้คนมาเป็น ๑๐ ปีแล้วแต่เมื่อก่อนก็ไม่มีคนสนใจ อาจเป็นได้ว่าคนเหล่านั้นอยู่ในสถานภาพที่เหมาะและมีเวทีในการให้ความรู้ฯ แต่พอหันกลับมามองพุทธศาสนา อาจเป็นเพราะผมยังเด็กและความรู้น้อยด้วย(นี่พูดจากใจจริงครับ ไม่ใช่ทำดัดจริต) ผมมองไม่เห็นทางเลยที่จะช่วยพุทธศาสนาหรือทำให้ชาวพุทธกลุ่มใหญ่หันมาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง(ออกจากความงมงายทุกรูปแบบ ทั้งวัตถุพิธีกรรม และยึดพระพุทธเจ้าแบบหลับตา) ได้ บางทีโยมเป็นคนที่อาวุโสกว่า ความรู้มากกว่าอาจพอมองเห็นทางฯ
ส่วนเรื่องการต้องเผยแผ่แบบหักดิบทำนองท่านเกษม อาจิณฺณสีโล เป็นตัวอย่างที่เตือนใจได้ดีนะครับ ว่าเราไม่ควรเอาอย่าง (ไม่ได้หมายความว่าผมเห็นด้วยกันท่านเกษมทุกอย่างนะครับ) แต่เจตนาดีของท่าน กอปรกับการใช้พระไตรปิฎกอ้างอิง (ทั้งที่ถูก)ก็สะท้อนแล้วว่า ไม่ได้ผล ซึ่งก็เชื่อว่า เมื่อท่านนำเสนอความจริงเหล่านั้นแล้ว(เช่นพระบ้าอำนาจ การถวายเงินแก่พระ เป็นต้นไป) ผมว่าคนส่วนใหญ่ที่ดูข่าวจากสื่อมวลชน น่าจะมีทัศนะในแง่ลบกับท่านมากกว่าจะพิจารณาความถูกต้องฯ สรุปคือ ยิ่งทำแบบนี้มากเท่าไร ยิ่งมีคนเกลียดขึ้นมากเท่านั้น เหตุผลง่ายๆคือเมืองไทยเหมือนจะไม่เหมาะกับการใช้เหตุผลความถูกต้อง แต่คนที่ยึดประเพณี ความเชื่อเก่า ทำอะไรก็ได้ให้ชาวบ้านสบายใจ(โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร) จะได้รับการยกย่องและอยู่อย่างยั่งยืนครับ หากอยากเป็นนักเทศน์ชชื่อดังก็ไม่จำเป็นต้องชี้แจงหลักการของพระศาสนาหรือหวังให้คนสละมิจฉาทิฏฐิ เพียงแต่คิดคำคมหรือมุขเด็ดขึ้นมาพูด(ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงหรือมีผลในทางปฏิบัติ) พอให้คลายความเครียดของคนและหลอกให้เขาเชื่อว่า เขาเป็นชาวพุทธที่ดีอยู่แล้วก็จะได้รับการยกย่อง มีชื่อเสียงฟุ้งกระจายได้ไม่ยากครับฯ
สิ่งที่ผมมองเห็นตอนนี้คือ แม้จะไม่มีโอกาสพูดกับคนส่วนใหญ่ แต่เราต้องทำให้คนที่ใกล้ชิดเรา เช่นคนในครอบครัวเป็นต้น หรือคนอื่นๆที่พอจะพูดกันรู้เรื่อง เปลี่ยนทัศนคติมาเป็นคนเห็นถูก ตรง(ตามเหตุผล) เสียก่อนครับ ยอมรับว่าตั้งแต่ผมมาเปิดที่ปฏิบัติธรรมนี้ ผมยังไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจพุทธศาสนาแบบจริงจังได้เลย (เมื่อตอนอยู่วัดก็มิใช่ทำง่ายนะครับ มีอุปสรรคมากกว่านี้เสียอีก) แต่ที่ยังภูมิใจคือพอจะเป็นตัวอย่างแก่คนที่บ้าน ให้เขามีโอกาสรับรู้สาระธรรมมากขึ้น (เริ่มเปลี่ยนจากความเชื่อที่ว่า เอาทองไปปิดก้อนหิน ฝังรอบโบสถ์แล้วได้บุญ มาเป็นการศึกษาและปฏิบัติธรรมจึงได้บุญ) และจะใช้เวลาส่วนหนึ่งในการทำบทความหรือวีดีโอช่วยคนอยู่ห่างไกล (ซึ่งก็ได้ผลน้อยครับ แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ) เราต้องยอมรับดังที่กล่าวแล้วว่า ไม่มีอะไรยากไปกว่าการให้ความรู้(ที่แท้จริง)แก่คนหรอกครับ หลอกเขามาทำพิธีกรรมหรือหลอกให้ยึดพระพุทธเจ้าแบบหลับตาว่าได้บุญมากยังง่ายกว่าอีกครับ (ศรัทธายังง่ายกว่าปัญญา)ฯ ถ้าเช่นนั้นอาจถามว่า ไฉนไม่หลอกเขาให้ยึดพระพุทธเจ้าไปก่อน พอได้มวลชนแล้วก็ค่อยสอนธรรมะจริงๆ(ความเป็นเหตุเป็นผล) เป็นกุศโลบาย? ตอบว่า ทำไม่ลงครับ ผมเชื่อว่าครูบาอาจารย์ดัง(ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ)หลายคนอาจมีความคิดเช่นนี้ในตอนแรกก็ได้ (อาจเทียบกับนักการเมืองดีที่หวังเข้าไปเปลี่ยนแปลงการเมืองใหม่)แต่พอเติบโตขึ้นเขาก็กลับลำไม่ได้ ส่วนหนึ่งคือต่อให้ช่วยคนไม่ได้มากก็ยังดีที่มีเวลาเหลือให้พัฒนาตัวเองครับ ไม่มีใครมาหาก็ดีแล้วจะได้ไม่เสียเวลาของเรา (เพราะถึงมาแต่หากไม่ได้ตอบสนองความต้องการของเขา เช่นให้เขาทำบุญ(สร้างพระประธาน) ต้องไปส่งบุญให้ญาติเขาที่นรก ต้องการน้ำมนต์ฯลฯ เขาก็ไม่ต้องการเราอยู่ดี ไม่ใช่ผมไม่สอนธรรมะเขานะครับ พยายามทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ต้องเข้าใจว่าคนเขาถูกหลอกมาแล้วกว่าครึ่งชีวิต เขาฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังจากเรา ต่อให้เป็นเหตุเป็นผล นั่นพยักหน้า ใจจริงๆแล้วเขารับไม่ได้ครับ อันนี้ไม่รู้จะโทษใครดี ขอยกให้เป็นโทษภัยของสังสารวัฏแล้วกัน)
ก่อนจบขออธิบายคำหนึ่งที่เราใช้กันบ่อยคือ พุทธวาท หรือพุทธพจน์ก็แล้วแต่ ผมจะไม่ขอแปลว่า ชาวพุทธผู้ที่ยึดคำสอนของพระพุทธเจ้านะครับ เพราะอาจจะไปเข้าข่าย Blind faith ที่อธิบายไปแล้วโดยยึดพระพุทธเจ้าเหมือนพระเจ้าองค์หนึ่งเท่านั้นเอง แต่ขอแปล พุทธ ในที่นี้ว่า ผู้รู้ (พุทฺธ รู้,ตื่นฯ) หมายถึง ผู้ที่ยึดเอาความรู้(ความถูกต้อง)เป็นหลัก โดยการยึดหรือเชื่อนั้นต้องผ่านกระบวนการใช้ความรู้ มาตรวจสอบก่อนแล้ว มิใช่รับเอาด้วยความงมงาย และชาวพุทธประเภทที่ผมหมายถึง ต้องมิใช่คนที่ผูกตนเองติดกับพุทธพจน์ (ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับพระพุทธเจ้า) แต่ไม่ว่าคำพูดใดก็ตาม จะพระไตรปิฎก อรรถกถา หรือ ครูอาจารย์ท่านอื่นฯ ชาวพุทธต้องไม่รีบรับและไม่รีบปฏิเสธ แต่พิจารณาเนื้อหาของสิ่งนั้นจนเข้าใจเสียก่อนแล้วน้อมมาศึกษาหรือปฏิบัติให้รับผลที่ยิ่งขึ้นไปฯ   
ขอสรุปว่า ผมยินดีมากที่อย่างน้อยได้ทราบว่าคนมีความรู้และหวังดีแก่พระศาสนายังมีอยู่ อาจไม่มากแต่ก็อีกจำนวนหนึ่ง สิ่งแรกที่เราต้องทำคือใช้เวลาส่วนหนึ่งอุทิศแก่การศึกษาและปฏิบัติของเราเองแหละครับ พร้อมทั้งชักชวน(ชี้แจงเหตุผล) ให้คนใกล้ชิดที่พร้อมจะรับฟังได้มีโอกาสรับรู้ความจริง การเปลี่ยนคนที่ตัวปัญญาไม่ใช่เรื่องง่าย พระพุทธเจ้าเองหลายครั้งสอนธรรมะให้คนฟังมากมาย ผู้เข้าใจพระองค์มีเพียงครั้งละคนหรือสองคนเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเราต้องท้อใจนะครับ เพียงแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องตระหนัก สัมมาทิฏฐิ(แม้ไม่ใช่ในระดับสูงสุดก็)ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลา กอปรกับความกรุณาที่มีต่อเพื่อมนุษย์แล้วทำไปเรื่อยๆ ครับ   โชคดีครับ