เรื่อง จะเอาอย่างไรดีกับระบอบสมณศักดิ์ (ตำแหน่งพระ)
เรื่องนี้น่าจะเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไปมิใช่น้อย (อย่างน้อยก็พระคุณเจ้าที่กำลังแสวงหาสมณศักดิ์และกระผมเองที่ต้องการโจมตีเรื่องนี้อย่างหัวล้านชนฝา!) โดยดั้งเดิมแล้วก็ไม่มีความปรารถนาที่จะมายืนฝั่งตรงข้ามโดยประการใด แต่ด้วยยิ่งนานวันกลับเห็นว่าสมณศักดิ์นี้กำลังจะกลายเป็นมหันตภัยร้ายของพระศาสนาขึ้นมาทุกที (หรือที่พูดอย่างนี้เพราะตัวเองไม่ได้เลื่อนขั้นอย่างเขากันแน่?)
ที่มาของระบอบสมณศักดิ์
แหล่งข้อมูลที่พอจะให้ความชัดเจนเรื่องนี้ได้ดีและเข้าถึงง่ายที่หนึ่งคือ Wikipedia โดยระบุว่าน่าจะมาจากธรรมเนียมพระสงฆ์ศรีลังกา(พระสามีสังฆราช)ที่ได้รับนิมนต์มาประกาศพระศาสนานิกายลังกาวงศ์สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไทย(สุโขทัย) มีการสันนิษฐานว่าพระสงฆ์จะกราบทูลพระองค์ให้มีการพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระคุณเจ้าทั้งหลายเพื่อสะดวกแก่การปกครองฯ แต่สมัยนั้นลำดับขั้นสมณศักดิ์ไม่ได้สลับซับซ้อนเพราะมีเพียง ๒ ระดับชั้นเท่านั้น คือ พระสังฆราชและพระครู พอมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาระบบสมณศักดิ์ได้รับการปรับให้มีระดับชั้นเพิ่มขึ้นเป็น ๓ ระดับคือ สมเด็จพระสังฆราช พระสังฆราชคณะ(หรือพระราชาคณะ)และพระครู
ช่วงหลังมาก็มีการจำแนกแบบซับซ้อนมากขึ้น ต้องขออภัยที่ไม่ได้นำมากล่าวให้ชัดเจนในที่นี้เพราะเห็นว่าจะเสียเวลาแก่ผู้อ่าน (แม้กระผมเองไปอ่านเพื่อเตรียมข้อมูลมาเขียนยังรู้สึกเสียเวลาเลย!) แต่สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือระเบียบหรือวิธีการในการไต่เต้าให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้ ลูกพี่ทั้งหลายที่อยากเลื่อนขั้นน่าจะศึกษาและท่องจำไว้ให้ขึ้นใจเพื่อผลประโยชน์ของพระศาสนาที่จะเจริญงอกงามในอนาคต (เหมือนที่ท่านชอบอ้างเวลาพูดกับโยม?)
การแต่งตั้งสมณศักดิ์จะมีการพิจารณาปัจจัยเด่น ๒ ประการคือ คุณสมบัติส่วนบุคคล(พร้อมทั้งวัดที่สังกัด)และ ความสามารถในการแสดงออกให้ชาวโลก(หมายถึงมนุษย์ในโฆษณาปุ๋ยตราม้าบิน)เห็นว่าสร้างคุณประโยชน์แก่สังคมจนเป็นที่ยอมรับฯ เริ่มจากประการแรก คุณสมบัติส่วนตัว(ภาษาฝรั่งเศสเรียก RESUME) ให้ดีต้องมีวุฒิการศึกษา(ไม่ได้หมายถึงความรู้) ทั้งบาลี นักธรรม ยิ่งสูงเท่าใดยิ่งมีสิทธิเท่านั้น หรือให้เหมาะสมกับปัจจุบัน(ซึ่งเป็นปรากฏในนโยบายการแต่งตั้งสมณศักดิ์และความต้องการของชาวบ้าน(ทุ)ปัญญาชนสมัยใหม่) ท่านควรมีปริญญาทางโลกควบคู่ไปด้วย โดยหลายท่านมักเลือกมหาวิทยาลัยที่จบง่าย ไม่ต้องเข้าเรียน ใช้เงินทุนน้อย กระผมเคยมีโอกาสพูดคุยกับพระนักศึกษาปริญญาเอกจากต่างประเทศหลายคน ซึ่งเหตุผลที่ท่านตัดสินใจไปเรียนเมืองนอกพอจะสรุปได้ดังนี้
๑. เหตุผลในแง่บวก ทำให้มีประสบการณ์ มีโลกทัศน์กว้างขึ้น, เมืองนอกเอื้อต่อการพัฒนาภาษา(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ มากกว่า...เช่น เกวชชั่น นัมเบอ ตู/Question number two หรือ วัดถ้ำอีดอิด/ What time is it?), ศาสตราจารย์ต่างประเทศเก่งจริงสามารถสอนปากเปล่าได้ ไม่ต้องอ่านตาม power point เหมือนไทย, บ้างก็ว่าเพราะการศึกษาในเมืองไทยไม่ค่อยได้มาตรฐาน ซึ่งทุกอย่างที่กล่าวมา กระผมเห็นด้วยหมดเลยและอยากสนับสนุนให้พระเราไปเรียนต่างประเทศจริงๆ
๒. เหตุผลในแง่ลบ เรียนจบง่าย บางแห่งไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์(ป.โท), บางที่ไม่ต้องไปเรียน นั่งอยู่เมืองไทยจ่าย ๔๐,๐๐๐ ก็รอรับปริญญาได้เลย (แต่ถ้าให้ดีต้องไปอินเดียบ้างนะ...ไปสังเวชนียสถานกับคนจัดทัวร์ก็ยังดี เดี๋ยวโยมข้างวัดสงสัย), เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนนอก(แม้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้)ฯลฯ
กระผมเคยถกเรื่องนี้กับอาจารย์ต่างชาติท่านหนึ่ง โดยท่านตั้งคำถามว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ไฉนนักปราชญ์พุทธจึงไม่มีรายนามคนไทยให้ปรากฎ ส่วนใหญ่จะมีแต่ฝรั่งหรือบ้างก็ศรีลังกา(กรณีที่ไม่นับท่าน ป.อ.ปยุตฺโต เพราะช่วงหลังบทบาทในนานาชาติมีน้อย) กระผมจึงตอบไปว่าความจริงเรามีคนที่เก่งเรื่องพุทธศาสนาอยู่มาก ทั้งพระและฆราวาสแต่ปัจจัยหลักน่าจะมาจากการที่บ้านเราไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษา/วิชาการด้านศาสนามากเท่าที่ควร การเรียนการสอนยังไม่มีการเปิดกว้างเรื่องการคิดวิเคราะห์ ไม่เฉพาะแต่นักเรียน แต่รวมถึงครูที่ไม่สามารถจุดประเด็นให้แก่นักเรียนได้ เช่นพระพุทธเจ้าเกิดมาต้องเดินได้ ๗ ก้าว(ข้อนี้มีปรากฎในพระไตรปิฎกเป็นพุทธวจนะจริง) แต่ผู้สอนก็เหมือนจะสร้างบรรยากาศให้เห็นว่า หากใครไม่เชื่อข้อนี้ก็ไม่ใช่ชาวพุทธฯ ทั้งที่ประเด็นบางอย่างสามารถถกได้ เช่น ตามหลักการพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าคนทั่วไปตรงที่เดินได้ตั้งแต่เกิดหรือ? หลายคนพูดอังกฤษได้ จบจากอเมริกาแต่ก็ไม่เข้าใจพุทธศาสนา อธิบายอริยสัจก็ไม่ได้ ส่วนพระที่เก่งเรื่องธรรมะก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พุทธศาสนาจึงไม่ถึงหูคนต่างชาติฯ ขอย้ำเรื่องวิชาการในบ้านเราอีกนิด นั่นคือวิชาการเมืองไทยมีความหมายไปในทางที่พูดอะไรก็ตามต้องให้ฟัง/เข้าใจยาก ทั้งที่ความจริงวิชาการคือการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นความสำคัญของเรื่องนั้นๆ ผู้อ่านบทความวิชาการจะได้ความรู้ที่ครบถ้วนและกลายเป็นคนมีวิจารณาณมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกอย่างที่เขียนออกมาล้วนกระชับ มีเหตุผลและอ้างอิงที่มาฯ ขอยกตัวอย่างนักวิชาการศาสนาของพุทธเราเช่น นิรยะ แปลว่า โลกอันหาความเจริญมิได้[1] (ทั้งที่สามารถสื่อให้ง่ายขึ้นได้ว่า โลกที่ไม่เจริญ) , กรรมฐานเป็นที่สบายแก่จริตทุกอย่าง[2] ควรเป็น กรรมฐานที่เหมาะกับคนทุกประเภท เป็นต้นเพื่อให้สอดคล้องกับนักเรียนที่ยังมีอายุน้อย ความจริงหาใช่แต่คนอายุน้อยเท่านั้น กระผมเข้าร่วมบรรยายวิชานี้แก่นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมคธ(ตรัง) หลายที่เช่นตัวอย่างที่สองที่ยกมาแล้วนักศึกษาทั้งที่เป็นผู้ใหญ่ มีภูมิรู้ก็อ่านจุดนั้นไม่เข้าใจฯ สิ่งเหล่านี้ที่ยกมาพอจะชี้ให้เห็นได้ว่าเมืองไทยเรามีนักปราชญ์หรือนักวิชาการน้อยจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นแต่เพียงผู้จบการศึกษาระดับสูงและทำหน้าที่สวมรอยเป็นนักวิชาการโดยไม่ทราบว่าผู้อื่นจะเข้าใจงานของตนมากแค่ไหนฯ
ประเด็นถัดมา(ซึ่งอยู่ในหัวข้อเดียวกัน)คือ คุณสมบัติของวัด ถ้าเป็นวัดหลวง (มีระบุต่อท้ายว่า พระอารามหลวง)ก็มีโอกาสงอกเงยกว่าวัดโคกอีแร้งบ้านนอก(ไม่แน่ใจว่ามีวัดโคกอีแร้งนี้อยู่จริงหรือไม่ แต่พระเณรส่วนใหญ่เคยได้ยินชื่อนี้ในกรณีที่ถูกล้อเลียนว่ามาจากสถานอันไกลโพ้นฯ) รวมถึงตัวพระอุปัชฌาย์ว่าอยู่ในระดับซีไหน หลายคนอาจสงสัยว่าแค่วัดอย่างเดียวก็น่าจะพอ ไฉนคุณสมบัติพระอุปัชฌาย์จึงมีส่วนด้วย? ข้อนี้เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่า สังคมไทยมีระบบอุปถัมภ์อยู่ทุกหย่อมหญ้า พระสงฆ์เราก็เป็นระบบหนึ่งที่เน้นเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ไฉนจะพราดจากเรื่องเลวทรามเช่นนี้ไปได้ฯ กระผมจะขอยกตัวอย่างพระระดับซีต่ำ เช่นพระครูหรือพระปลัดเป็นต้น(ที่ได้โดยการแต่งตั้งจากพระผู้ใหญ่...เรียกอีกอย่างว่า พระฐานา) สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามวัดชั้นนำทั่วเมืองไทย หรือที่เห็นชัดคือหากทราบว่าวัดไหนมีการเลื่อนเจ้าคุณ (ซึ่งตัวผู้ถูกเลื่อนสามารถแต่งตั้งพระฐานาได้) ก็จะมีเจ้าอาวาสที่รักลูกศิษย์แห่ถือกระเช้าแบรนด์เข้าไปหาโดยใช้ลิ้นสัมผัสหน้าแข้งจนสะอาดและเปล่งอุทานออกมาสั้นๆว่า “ให้ลูกศิษย์ผมนะขอรับ” (ตรงนี้รู้สึกจะพูดแรงเกินไป แต่ก็ไม่อยากกดลบแล้ว เอาเป็นว่าขออภัยและขอถอนครับ) จึงใคร่อยากให้พุทธบริษัทที่ได้รับเชิญไปงานฉลองสมณศักดิ์เหล่านั้นลองถามพระคุณเจ้าดูบ้างว่า “ยศนี้ท่านได้แต่ใดมา?” อย่าสักแต่ว่าท่านทำอะไรก็สนับสนุนไปเรื่อยฯ เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ขอชื่นชมคนใต้นิดหนึ่ง(เฉพาะบางพื้นที่) นั่นคือโดยปกติคนใต้ ถ้าเทียบกับคนภาคอื่นๆน่าจะเป็นผู้ที่ค่อนข้างกระด้างหรือให้ความเคารพพระน้อยที่สุด แต่นั่นไม่ใช่เป็นปัญหาใหญ่เพราะกลับเป็นผลดีด้วยซ้ำที่จะช่วยเอาพวกโล้นซ่าออกไปจากวัดได้บ้าง(ด้วยการไม่สนับสนุนด้านปัจจัย ๔) ครั้งใดมีการฉลองสมณศักดิ์ แม้จะเป็นยศเปรียญที่ได้มาด้วยการสอบก็ตาม ชาวบ้านจะพูดกันอย่างเปิดเผยเลยว่า “ท่านไปซื้อมาหรือเปล่า?” ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้บางท่านอับอาย ที่ไปซื้อมาจริงก็ไม่กล้าฉลอง หลายท่านเลื่อนยศนานแล้วก็ไม่มีใครทราบ แต่ก็ยังมีโล้นซ่าบางกลุ่มที่ไม่สนใจเสียงเหล่านี้ อาจเป็นเพราะคิดว่าสามารถยกตนขึ้นจากอารมณ์ทางโลก ไม่สนใจโลกธรรมข้อนินทา สรรเสริญได้แล้ว...แต่ทำไมยังถอนข้อมีลาภ มียศไม่ได้ครับ?
คุณสมบัติด้านที่สองคือ การแสดงความสามารถให้สังคมรับทราบ ความจริงคุณสมบัติข้อนี้อาจไม่มีความจำเป็นด้วยซ้ำในกรณีที่คุณสมบัติแรกครบถ้วนแล้ว แต่นั่นก็หมายถึงโล้นที่ซ่าจัด ในความเป็นจริงยังมีพระอีกมากที่ต้องการเรื่องเหล่านี้แต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นคนดีอยู่ลึกๆในจิตใต้สำนึกเหมือนภูเขาน้ำแข็ง(แต่ส่วนที่โผล่ให้เห็นนั้นเป็นความดีนะ) ในกรณีนี้พระบางท่านถึงแม้ตนอยากได้เลื่อนยศก็ตาม แต่ก็พยายามทำให้สมศักดิ์ศรี คล้ายกับฆราวาสที่อยากโด่งดัง แต่ก็ไม่ต้องการซื้อใบปริญญา เลยลงมือเล่าเรียนจนจบ คนประเภทนี้แม้เจตนาจะไม่ดีแต่การกระทำหรือหนทางที่นำไปสู่จุดหมายก็ถือว่าน่ายอมรับ เราจึงไม่ควรรังเกียจคน/พระประเภทนี้เสียแบบสุดจิตสุดใจ หลายท่านจึงตั้งใจทำงานและสร้างสรรประโยชน์ไปพร้อมๆกับความปรารถนาส่วนลึกที่ว่าสักวันคงจะมีคนเห็นใจเราเป็นแน่ฯ ความจริงการกระทำเช่นนี้ถือเป็นกิเลสที่ละเอียดขึ้นหากเปรียบเทียบ/อธิบายตามหลักของโลกธรรม นั่นคือคนส่วนใหญ่ติดลาภ(หมายถึงวัตถุมีเงินเป็นต้นนะ ไม่ใช่อาหารจำพวกก้อยหรือน้ำตกฯ) คนที่มีความสามารถคือกิเลสละเอียดอ่อนขึ้นก็สามารถยกตนจากลาภ ทรัพย์สินเงินทองขึ้นไปอีกระดับหนึ่งนั่นคือยศ (พี่โล้นของเราก็จัดอยู่ในประเภทนี้เอง) คนประเภทนี้แม้ไม่ได้เงินทองหรือที่ยิ่งกว่านั้นต้องเสียผลประโยชน์ในบางส่วนบ้างก็เอา เพื่อแลกกับการได้ยศตำแหน่งฯ ประเภทที่ ๓ คือเงินก็ไม่ต้องการ ยศตำแหน่งก็ไม่ต้องการ เช่นไม่อยากรวย ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ชอบใส่ชุดขาว ไม่สนใจปริญญา(ยศ) ครั้นมีคนต้องการความช่วยเหลือก็ช่วยเต็มที่ เขาเชิญไปสอนในมหาวิทยาลัยก็ไม่รับเงินเดือน ดูคล้ายจะเป็นคนหมดกิเลสแล้ว แต่ในใจลึกๆทำเพียงเพื่อให้คนยกย่องว่าเขาเป็นคนดี ไม่ต้องการอะไรจากใครฯลฯ ความคิดประเภทนี้ก็ยังจัดอยู่ในกิเลสด้านโลกธรรมที่ละเอียดลงไปอีก คนที่ไม่รู้จักสังเกตจะมองว่าเขาคงเป็นผู้วิเศษหรือหากเป็นพระก็จะยกให้เป็นอรหันต์ทันทีฯ ต้องขอเสริมนิดหนึ่งว่า มิใช่กล่าวเช่นนี้แล้วเราจะมองทุกคนในแง่ลบว่าเป็นคนชั่วไปเสียหมด เพราะบางท่านที่ดีจริงก็มี แต่การสังเกตคนต้องมองให้รอบด้าน มิใช่พิจารณาแต่สิ่งที่เห็นเพียงเล็กน้อย ความจริงทั้งคำพูดและการกระทำสามารถสะท้อนปัญญาและความเมตตากรุณาของท่านได้ดีฯ
อย่างไรก็ตามก็มีพระที่ได้รับการเลื่อนชั้นโดยมิได้เขียนผลงานตัวเองส่งเข้าประกวดเลย แต่ด้วยทางราชสำนักเห็นคุณความดีเอง ตัวอย่างเช่น ท่านพุทธทาส ท่านปัญญานันทะ(บางครั้ง)เป็นต้น คนที่น่าเอาเป็นแบบอย่างที่อยากกล่าวถึงในที่นี้คือท่านพุทธทาส เพราะท่านทำประโยชน์โดยมิได้หวังว่าใครจะเอาอะไรมาให้ และแม้ได้รับพระราชทานยศตำแหน่งแล้วก็มิได้สนใจ(แม้แต่จะไปรับเอามาเลี้ยงฉลอง)โดยทำภาระกิจคือการเผยแผ่ธรรมะต่อไป
ส่วนโล้นซ่าที่ต้องการยศตำแหน่งและประสงค์จะได้มาด้วยความชอบธรรม ต้องเร่งขวนขวายหามวลชน และทำประโยชน์ให้ปรากฎเป็นชิ้นเป็นอัน เช่นในกรณีของการสร้างวัตถุมีรายละเอียดดังนี้ (ในวงเล็บ ตัวอักษรเอียงเพิ่มเติมโดยผู้เขียน)
หลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งตั้งสมณศักดิ์[3]
๑๑. ในเขตปกครองหนกลาง ต้องมีจำนวนเงินที่ได้ใช้จ่ายในการก่อสร้าง และปฏิสังขรณ์แล้ว จำนวนตั้งแต่ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านบาท) ขึ้นไป (หลอกโยมกับแย่เลยกว่าจะสร้างเสร็จ!)
๑๒. ในเขตปกครองหนเหนือ หนตะวันออก และหนใต้ ต้องมีจำนวนเงินที่ได้ใช้ในการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์แล้ว จำนวนตั้งแต่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) ขึ้นไป (อันนี้หลอกน้อยหน่อย แต่เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็เป็นคนจน น่าเห็นใจจริงๆ ยิ่งจนยิ่งเจ็บ)
๑๓. เฉพาะในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๔ และภาค ๕ ต้องมีจำนวนเงินที่ได้ใช้จ่ายในการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์แล้ว จำนวนตั้งแต่ ๕๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าแสนบาท) ขึ้นไป
๑๔. สำหรับผลงานสาธารณูปการตามข้อ ๑๑, ๑๒ และข้อ ๑๓ ข้างต้นนั้น ไม่นับผลงานที่เป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนของรัฐบาล ที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน หรือการก่อสร้างในวัดอื่น (หมายถึงเอาผลงานคนอื่นที่ตัวจะอ้างว่าไปทำเรื่องขอมาลงไม่ได้ ต้องดิ้นรนเสาะหา เที่ยวแจกฎีกาผ้าป่า กฐินด้วยตนเอง)
๑๕. แม้จำนวนเงินจะครบตามหลักเกณฑ์ในข้อ ๑๑, ๑๒ หรือข้อ ๑๓ แล้วก็ตามแต่ถ้าการก่อสร้างโรงอุโบสถ หรือศาลาการเปรียญอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างยังไม่แล้วเสร็จ ให้รอไว้ก่อน (เพราะอุโบสถและศาลาการเปรียญมีความสำคัญที่สุด อุโบสถเอาไว้สร้างคนให้เป็นพระ...ปลอม ศาลาการเปรียญเอาไว้เป็นสถานฟังธรรม...เพื่อเรื่ยไรเงินทำอย่างอื่นต่อ เอาเป็นว่าเลิกแซวดีกว่า เดี๋ยวจะมีแต่แง่ลบและจะยิ่งเครียดไปกว่าเดิม)
เกณฑ์การพิจารณายังไม่มีแค่นี้ บ้างก็มีการสนับสนุนการศึกษา มีพระเณรจำพรรษาในวัดมาก มีการสอบนักธรรม บาลีได้มากฯลฯ ก็จะได้รับพิจารณาไปอีกประเภทหนึ่งซึ่งผู้สนใจสามารถติดตามอ่านได้ในเว็บไซด์ dharma-gateway ที่ได้อ้างอิงไว้แต่ต้นแล้ว
ยศช้าง ขุนนางพระ
ภาษิตนี้ได้ยินกันจนคุ้นหู กระผมเองเมื่อฟังเหตุผลที่นิยมอธิบายกันแล้วก็รู้สึกเห็นด้วยที่ว่า พระกับช้างมิได้ต่างกันเลยเรื่องการมียศอำนาจ นั่นคือมีแต่ชื่อเสียงและการกราบไหว้บูชาแต่ไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตตนไปสู่ทางที่สะดวกสบายมากขึ้นได้ เช่นเป็นช้างแม้มียศสูงก็ยังต้องกินกล้วยกับอ้อย (ไม่เคยเปลี่ยนเป็น MC Donald) พระเองก็ยังต้องบิณฑบาต ได้อะไรมาก็ฉันอันนั้นฯ หรือจะสื่อให้เจ็บปวดมากขึ้นคือยังเป็นทาส ถูกจูงจมูกอยู่เสมอ ไม่สามารถคิดหรือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ด้วยตนเอง ทั้งชีวิตตนเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจหรือผู้ให้ยศตนเอง ท่านไพศาล วิสาโล อธิบายไว้ในหนังสือพุทธศาสนาไทยในอนาคตว่า สมัยอดีตพระสงฆ์หรือพุทธศาสนาตกเป็นเครื่องมือของชาติ/การเมืองมาตลอด มีการลดคุณค่าหลักธรรมเพื่อให้รับใช้ชาติ เช่น ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่เป็นบาป, จะให้เป็นคนดีจริงต้องบำรุงชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นต้น อันนี้น่าจะเป็นการให้คำนิยามของยศช้าง ขุนนางพระได้ดีทีเดียว นั่นคือที่ให้เพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือฯ
แต่จะมองอีกแง่ก็ไม่น่าเห็นด้วยเหมือนกัน นั่นคือให้เรามองในแง่ดี(ซึ่งน่าจะเป็นความจริงมากกว่า) ภาษิตนี้อาจเกิดขึ้นเพื่อยกย่องคุณธรรมของพระโดยเฉพาะ นั่นคือการได้ยศของพระไม่ต่างจากช้าง คือแม้ได้มาก็มิได้หลงมัวเมา ยังทำหน้าที่ตนเองตามปกติ ถึงเวลามีสงครามช้างก็ออกรบด้วยความกล้าหาญ พระเองก็มีเจตนาบริสุทธิ์กับประชาชนในการเผยแผ่คำสอน มิได้หยิ่งยโส ซึ่งเป็นไปได้ว่ายุคแรก(อาจรวมถึงการรับเอตทัคคะสมัยพุทธกาล)พระสงฆ์ทั้งหลายเป็นเช่นนี้จริงๆ
การตั้งสมณศักดิ์เป็นการข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่องจริงหรือ?
เมื่อมีการถกเรื่องสมณศักดิ์กัน หลายคนมักใช้เหตุผลนี้มาอ้าง นั่นคือเป็นการเชิดชูคนดีและคว่ำบาตรหรือข่มคนชั่ว แต่นานวันเข้าภาษิตนี้หรือการกระทำเช่นนี้เหมือนจะไม่ได้เป็นไปตามนั้น กลับแต่ตรงกันข้าม ก่อนอื่นให้เราลองนึกภาพคนดีที่ต้องเหยี่ยวแห้งตายอยู่ตามชนบท และคนชั่วที่เจริญรุ่งเรืองทั้งชีวิตดูก็ได้ นั่นเป็นเพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป คือสังคมพากันยกย่องคนชั่ว แม้แต่การเมืองไทยช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาก็ปรากฎคำว่า ขอให้ประเทศเจริญ นายกจะโกงก็ไม่เป็นไรฯ ซึ่งคำพูดนี้ดูแต่ผิวเผินก็ขัดแย้งกันเองในตัวอยู่แล้ว นั่นคือเมื่อเข้ามาโกง ไม่มีวันที่ประเทศจะเจริญได้ หรือจะได้บ้างก็ในกรณีโกงคนรวยมามาก แล้วแบ่งให้คนจนบ้าง(แทกซี่สักคันก็ยังดีฯ)เพื่อให้คนจนเห็นว่าตนได้รับประโยชน์จากผู้แทนเขา แต่โดยที่สุดการกระทำที่เลวร้ายไม่สามารถพาไปสู่จุดหมายที่งดงามได้ฯ ในมงคลสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสสิ่งที่ทำนำพาชีวิตมนุษย์ไปสู่ความเจริญในข้อที่ ๓ ไว้ว่า บูชาคนที่ควรบูชา[4] คำว่าบูชาในที่นี้มีความหมายมากไปกว่าการกราบเท้าฯ แต่เป็นการให้เกียรติ ยกย่อง เทิดทูลกระทั่งเอาเป็นแบบอย่าง กล่าวโดยสรุปคือการยกย่องคนดี(และมีปัญญา)นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมาโยงได้กับประเด็นเรื่องการให้สมณศักดิ์ด้วยเหตุผลที่มักอ้างกันว่า “ยกย่องคนดีฯ”
ก่อนอื่นกระผมใคร่จะแบ่งการให้ยศ(สมณศักดิ์)ออกจากการประทานเอตทัคคะของพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนเสียก่อน ด้วยเหตุว่าประเด็นนี้เองที่สมณศักดิ์ถูกใช้/อ้างถึงด้วยความชอบธรรมเสมอมา หลายคนหลงและเข้าใจว่าการให้สมณศักดิ์ในปัจจุบันกับการประทานเอตทัคคะ(คือยกย่องว่ามีความสามารถ)ของพระพุทธเจ้าเป็นอันเดียวกัน ซึ่งการกล่าวเช่นนี้ก็ใช่จะผิดเสียทั้งหมด แต่มีความต่างที่ต้องเข้าใจดังนี้
๑. จุดหมายของการให้ตำแหน่ง.....การให้สมณศักดิ์(ส่วนใหญ่)เกี่ยวโยงกับการปกครอง คือผู้ที่ได้รับเลื่อนขั้นจะมีหน้าที่ปกครองพระสงฆ์ไปด้วยเช่นเป็นเจ้าคณะตำบล อำเภอฯลฯ นั่นหมายถึงคนที่ถูกยกย่องเพียงเพราะมีความสามารถด้านวิชาการจะไม่สามารถก้าวถึงตำแหน่งสูงสุดได้(มักติดเพดานอยู่ชั้น พรหม)ฯ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่ไขว่คว้าหาเรื่องเหล่านี้ก็จะเป็นพระนักปกครองฯ ดังนั้นประเด็นใหญ่ของการตั้งสมณศักดิ์จึงอยู่ที่การปกครอง ตรงนี้เองที่ต่างจากการตั้งเอตทัคคะของพระพุทธเจ้า เช่นพระสารีบุตรมีความเก่งด้านปัญญา ท่านอานนท์มีความจำดีฯลฯ พระพุทธเจ้าทรงตั้งเพื่อยกย่องเกียรติคุณเท่านั้น มิได้ประทานอำนาจให้ปกครองคณะสงฆ์เป็นลำดับขั้นฯ ด้วยว่าพุทธศาสนาให้ใช้พระธรรมวินัยเป็นตัวสืบทอด ดังพระดำรัสที่ว่า
“ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ดูกรอานนท์..... ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่าโดยชื่อหรือโคตรหรือโดยวาทะว่า อาวุโส แต่ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภันเต หรืออายัสมา”[5]
ความจริงพุทธพจน์นี้ยังโยงไปถึงการให้แสดงความเคารพกันโดยอาศัยการบวชก่อนบวชหลัง นั่นคือพุทธศาสนาปฏิเสธศาสนาพราหมณ์เรื่องวรรณะ ๔ (ซึ่งเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ได้จากพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นคนวรรณะสูงย่อมมีสิทธิอำนาจมากกว่าคนวรรณะต่ำ) อำนาจทั้งหลายล้วนขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง แต่พระองค์กลับสอนใหม่ให้ละทิ้งชนชั้น โดยให้อยู่ด้วยการช่วยเหลือหรืออนุเคราะห์กันตามฐานะ พระที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนาจึงต้องตัดเรื่องยศอำนาจออกไปเสีย เริ่มด้วยการเข้ากราบเท้าพระอุปัชฌาย์และหมู่สงฆ์(ดูตัวอย่างเรื่องนี้จากประวัติท่านอุบาลี ที่ออกบวชพร้อมเจ้าชายศักยะโดยท่านท่านหลายยอมให้อุบาลีที่เป็นคนรับใช้บวชก่อนเพื่อจะได้ทำความเคารพเพื่อลดมานะทิฏฐินี้) พระองค์อนุญาตให้พระสงฆ์เคารพกันตามพรรษาการเข้ามาบวช ก็น่าเสียดายที่ปัจจุบันตอนบวชหลายคนยอมทำเช่นนั้น แต่เมื่อเข้ามาบวชนานเข้ากลับหวังสร้างชนชั้นขั้นต่อไปอีกด้วยระบบการปกครองฯ
๒. วิธีการได้มาซึ่งตำแหน่ง.....การให้สมณศักดิ์(โดยเฉพาะด้านการปกครอง)เป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรนเสียเองส่วนใหญ่ หรือไม่ก็อาศัยอุปัชฌาย์อาจารย์ฯ สังเกตได้จากหลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งตั้งหรือเลื่อนขั้นพระสังฆาธิการ นั่นคือต้องทำแฟ้มสะสมผลงานตนเอง แล้วส่งให้พิจารณาฯ ส่วนการประทานเอตทัคคะเป็นการประทานเพราะเห็นแก่ความดีงามในเรื่องนั้นเองโดยไม่ได้ร้องขอ ซึ่งพระพุทธเจ้าจะประทานแก่ผู้เป็นอริยบุคคลเท่านั้นฯ(ข้อนี้หากไม่เอาโลกุตตระมาเกี่ยวข้องเพราะมองเห็นยาก อาจกล่าวแบบอนุโลมได้ว่ายกย่องคนที่รู้จักทุกด้านแล้วว่าดีจริง)
เมื่อกล่าวเช่นนี้อาจเกิดข้อสงสัยเพิ่มขึ้นอีก นั่นคือเมื่อประเทศพัฒนาไปไกลถึงขั้นมีประชาธิปไตย ไฉนพุทธศาสนาจึงยังปฏิเสธความเจริญเหล่านี้ เพราะพระองค์ก็ตรัสไว้เองมิใช่หรือว่าให้เปลี่ยนแปลงไปตามระบอบการปกครอง (อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุ◦) ตอบว่าการปฏิเสธการปกครองคณะสงฆ์หรือสมณศักดิ์ยังมิได้ขัดแย้งประการใดกับระบอบการปกครองนี้ นั่นคือหากการปกครองเป็นประชาธิปไตยจริง ไฉนจึงยังมีการรวมศูนย์อำนาจ การแต่งตั้งทั้งหลายก็ล้วนมาจากผู้ปกครอง(ซึ่งได้อำนาจด้วยการแต่งตั้ง ไม่ใช่วิธีที่เป็นประชาธิปไตย แต่นั่นก็ถูกมองว่าเป็นแล้ว ด้วยว่าไม่มีพระสงฆ์ออกมาประท้วงแสดงความไม่เห็นด้วย ความจริงที่เป็นเช่นนั้นมิใช่เพราะท่านเห็นดีด้วยเสมอไป แต่เพราะพระสงฆ์ส่วนใหญ่ขาดความรู้เรื่องการปกครองและ/หรือก็ทราบดีว่าทำอย่างไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเลือกที่จะนิ่งเฉยเสีย แน่จริงลองเปิดโอกาสให้พระสงฆ์โหวตดูสิครับว่าท่านจะรับการปกครองที่ขึ้นต่อมหาเถรสมาคมหรือระบบสมณศักดิ์หรือไม่ฯ)
มาถึงประเด็นที่ว่า การให้สมณศักดิ์เป็นการยกย่องพระคุณเจ้าที่มีภูมิรู้ให้เป็นที่ประจักษ์(รู้จัก)ของสังคมจริงหรือ? ดังที่กล่าวแต่ต้นแล้วว่า พระสงฆ์ประเภททรงภูมิรู้นี้ไม่ค่อยจะมีใครเที่ยวเขียนผลงานตนเองส่งเพื่อเลื่อนขั้นนัก (หรือถ้ามีก็เพราะต้องการใช้ภูมิรู้ให้เป็นประโยชน์ในทางสนองกิเลสตนเอง) พระประเภทนี้จะได้รับการยกย่องเพราะเห็นคุณความดีจริงๆ (รวมถึงพระที่ขลังศักดิ์สิทธิ์แต่สามารถเป็นศูนย์รวมใจ/แหล่งงมงายหลอกลวง ประชาชนได้ฯ) ซึ่งหากมองว่าการให้สมณศักดิ์ด้วยเหตุผลที่ท่านสร้างคุณประโยชน์และเป็นที่พึ่งของประชาชนเช่นนี้ก็ยังถือว่าใช้ได้ เพราะไม่ได้ไปสนองตัณหาท่าน แต่กระผมก็ยังเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอยู่ดี เพราะท่านเหล่านี้แม้จะไม่มีใครยกย่องเขาจนให้ยศถาบรรดาศักดิ์ แต่เขาก็เป็นที่รู้จักและสร้างคุณประโยชน์แก่คนทั่วไปอยู่แล้ว เช่นพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) พุทธบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าปัจจุบันท่านมีสมณศักดิ์ชื่อนี้ เพียงแต่จดจำและเคารพกันในนาม “เจ้าคุณประยุทธ์” เท่านั้น ตรงนี้พอจะสะท้อนให้เห็นว่า กิตติคุณของท่านที่กระจายออกไปนั้นเป็นเพราะความสามารถส่วนตัว(ซึ่งทำเพื่อพระศาสนา) มิใช่เพราะได้รับการยกย่องจากการให้สมณศักดิ์ฯ (ตัวอย่างคนอื่นๆที่ชัดเจนเช่น พระไพศาล วิสาโล, มหาวุฒิชัย ว.วชิรเมธี, มหาสมปอง ตาลปุตฺโต, พระศักดิ์ชัย กิตฺติชโย วัดธารน้ำไหล พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ฯลฯ)
ความอ่อนแอของคณะสงฆ์และสาระธรรมอันเนื่องจากระบอบสมณศักดิ์
ทุกอย่างล้วนทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ประเด็นนี้กระผมกลับมองเห็นแต่ข้อหลังอย่างเดียวนั่นคือยังมองไม่ออกว่าการได้สมณศักดิ์จะเป็นประโยชน์โดยตัวมันเองชัดเจน เพราะที่เป็นบ้าง(ในแง่บวก)ก็ขึ้นอยู่กับผู้นั้นเอง(กล่าวคือคนที่น่ายกย่องต่อให้ไม่มีสมณศักดิ์ก็ยังน่ายกย่อง) จึงขอชี้แจงให้เห็นถึงความอ่อนแอหรือจุดด้อยของการมีสมณศักดิ์นี้ (พึงทราบว่าสมณศักดิ์ที่จะวิจารณ์ต่อไปนี้เกี่ยวโยงกับเรื่องตำแหน่งการปกครองที่ขึ้นกับมหาเถรสมาคมเท่านั้น)
เมื่อมีการปกครองที่ต้องขึ้นตรงต่อผู้ใหญ่ตามขั้นลำดับเหมือนคณะสงฆ์ไทย หรือที่ยิ่งกว่านั้นการกระทำอะไรก็ตามที่เป็นโครงการใหญ่ การออกระเบียบ ข้อบังคับ(ในนามพระสงฆ์ไทย)จะต้องผ่านมติ(หรือได้รับอนุญาตจาก)มหาเถรสมาคมซึ่งมีผู้ตัดสินคือกรรมการมหาเถรสมาคม ประเด็นทั้งหลายในปัจจุบันเช่นการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์ซึ่งยังร้อนอยู่ในขณะนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ชอบนำมาถกกัน ฝ่ายหนึ่ง(สันติโศก)มองว่าการทำเช่นนั้นไม่สมควร เพราะเป็นการขัดพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ว่าผู้ใดมีคุณสมบัติครบก็สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ได้เลย ส่วนฝ่ายนักปราชญ์(มหาเถรสมาคม)ก็อธิบายว่า บ้านเมืองปัจจุบันมีระบอบการปกครอง มีขื่อมีแปฉะนั้นการทำอะไรก็ตามจะทำตามใจชอบเหมือนแต่ก่อนมิได้(ต่อให้ถูกพระธรรมวินัยก็ตาม?) อีกอย่างผู้ที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ควรจะได้รับการคัดเลือกหรือฝึกฝนอบรมเสียก่อนจะเป็นการดีกว่า หากเทียบกับการที่จะปล่อยให้ผู้นั้นเป็นพระอุปัชฌาย์เอง(เมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน) เป็นการรับประกันคุณภาพและให้ประกาศนียบัตรหรือใบประกอบวิชาชีพไปด้วยฯ กระผมไม่อยากถกประเด็นเหล่านี้ว่าใครถูกผิด แต่ที่น่าสนใจคือการเป็นพระอุปัชฌาย์จำเป็นต้องมีใบประกอบวิชาชีพจริงหรือ?
พระอุปัชฌาย์มิใช่ผู้ประกอบการที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
หลายท่านชอบยกตัวอย่างการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์ว่าต้องได้รับใบประกอบวิชาชีพเหมือนหมอ ผู้พิพากษาหรือนักวิศวกรฯ เพราะมิเช่นนั้นจะก่อความเสียหายแก่ผู้คนได้หากไม่มีความรู้ด้านนั้นจริงๆ เช่นผ่าตัดไปคนต้องพิการหรือสร้างตึกแล้วถล่ม(เองโดยไม่ถูกเครื่องบินชน) วิชาชีพเหล่านั้นจำเป็นต้องอาศัยใบประกอบวิชาชีพจริงเพื่อรับประกันความสามารถและคุณธรรมความซื่อสัตย์ในการทำงาน(เนื่องจากคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์สามารถถูกยึด/พักใบประกอบวิชาชีพได้) เหตุผลหลักคือสิ่งเหล่านี้เป็นความเป็นความตายของผู้อื่นที่ต้องระวังให้มากที่สุด แต่ความเป็นอุปัชฌาย์มิได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น ดังที่เคยอธิบายไปแล้วว่าการบวชเป็นแต่เพียงการรับเข้าหมู่คณะเท่านั้น ยังมิได้รับรองคุณภาพหรือคุณธรรมของพระว่าเป็นคนดีขนาดไหน ใครจะเข้าใจธรรมะหรือบรรลุธรรมปกติแล้วก็วัดกันเมื่อบวชเสร็จว่าเข้ามาแล้วมุ่งความเพียรแค่ไหน ส่วนเรื่องคุณสมบัติความสามารถของพระอุปัชฌาย์ หากท่านทำผิดพระธรรมวินัย เป็นคนชั่วฯลฯ การเป็นอุปัชฌาย์ของท่านก็สิ้นสุดไปเองโดยพระธรรมวินัยซ้ำยังต้องอาบัติฯ กล่าวเช่นนี้อาจยังดูเป็นนามธรรมอยู่ นั่นคือเราไม่สามารถทราบได้ว่าใครดีใครชั่วฯ พระไพศาล วิสาโล กล่าวว่า ผู้คนในถิ่นนั้นๆจะทราบเองว่าพระ(หลวงพ่อที่เป็นอุปัชฌาย์)ของตนดีชั่วหรือมีเมตตาอย่างไร ท่านใดที่มีพฤติกรรมแย่คนทั้งหลายก็จะไม่ยอมเอาลูกตนไปบวช(ฝาก)ไว้กับท่านอยู่แล้ว หรือเมื่อมีปัญหา/อธิกรณ์เกิดขึ้นสงฆ์ก็สามารถใช้ธรรมวินัยจัดการกับผู้นั้นได้เลยโดยไม่ต้องไปรอไอทีวีหรืออำนาจจากรัฐมายุ่งเกี่ยว ที่สำคัญหากยึดระบอบนี้ คนชั่วจะถูกทำลายไปโดยง่ายเพราะไม่มีระบบอุปถัมภ์เกรงกลัวผู้มีอิทธิพลที่สูงกว่าหนุนอยู่ นี่จึงถือเป็นการคว่ำบาตรหรือปฏิเสธตามระบอบประชาธิปไตยจริงๆเพราะไม่ได้ปิดกั้นผู้ใดแต่กลับปกครองด้วยระบอบธรรมวินัยที่ถูกต้องสอดรับกับการเป็นพุทธศาสนาฯ
ประเด็นที่ตามมาคือพระที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอาจเป็นคนชั่วหรือทำผิดพระธรรมวินัยได้ฯ ข้อนี้ดูเผินๆก็ไม่เป็นตรรกะอยู่แล้ว นั่นคือไม่มีอะไรจะรับรองความเป็นคนดีได้(แม้แต่ใบประกาศนักธรรมหรือบาลี) และจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาให้ชัดคือ ลองดูว่าปัจจุบันคนที่ทำผิดส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มีใบประกอบวิชาชีพทั้งสิ้น นั่นคือเป็นเจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ฯลฯ แต่ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา สวดถอนคำสาบ หาเงินแบบรีดไถหรือกระทั่งบวชให้บรรดากระเทยทั้งหลาย(ที่เป็นพวกเดียวกัน) ในทางตรงกันข้าม การจะเอาผิดกับคนเหล่านี้ก็ทำไม่ได้(มิเช่นนั้นท่านเกษม อาจิณฺณสีโล คงทำสำเร็จแล้ว) เพราะเขาสามารถยึดกันเป็นกลุ่มก้อน มีผู้นำที่เป็นใหญ่ แม้แจ้งต่อผู้มีอำนาจชั้นสูงขึ้นไปก็ยังวางเฉยปล่อยปละละเลย ตัวอย่างบทเรียนทั้งหลายในอดีตน่าจะมีให้เห็นกันชัดพอฯ
อีกประการที่น่าจะกล่าวถึงคือจุดหมายของการให้ใบประกอบวิชาชีพหมอ พยาบาลฯลฯนอกจากจะเพื่อให้มีความสามารถด้านนั้นจริงๆแล้ว สิ่งที่คนเหล่านี้เอาไปใช้คือเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น(และตนเองเป็นหลัก) คนเหล่านี้สามารถดำรงชีพอยู่ได้ด้วยความสุขสบาย มีเงินทอง มีคลีนิกต่างๆเพราะใบประกอบวิชาชีพนั้น การรับรองด้วยใบประกอบวิชาชีพจึงมีความสำคัญมาก แต่พระอุปัชฌาย์มิได้มีตราตั้งไว้เพื่อเหตุนั้น(กรณีที่ท่านเป็นคนดี) เพราะพระพุทธเจ้าทรงให้มีอุปัชฌาย์ด้วยต้องการให้สร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นเท่านั้น หากเอาตามพระธรรมวินัยแล้ว แม้เวลาบวชท่านจะรับเงินใต้อาสนะ(โต๊ะ)ก็ไม่ได้ เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง ในทางตรงกันข้ามท่าน(พระอุปัชฌาย์)กลับต้องมีภาระหนักขึ้นในการต้องคอยดูแลสอดส่องพฤติกรรมของผู้นั้น หากผู้เข้ามาบวชสร้างความเสียหายแก่หมู่คณะ พระอุปัชฌาย์เองก็มีส่วนในการรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือทั้งการว่ากล่าวตักเตือนหรือให้สึกไปเสียฯ ข้อดีของการยึดพระธรรมวินัยนี้คือทำให้การคัดเลือกคนที่เข้ามาบวชมีความจริงจังมากขึ้น คือพิจารณาจากคุณสมบัติ(ตามพระธรรมวินัย)จริงๆ ทำให้ได้คนดีหรือคนที่ตั้งใจบวชศึกษาปฏิบัติมากขึ้น ต่างจากปัจจุบันที่การรับคนเข้าพิจารณาเงินเสียเป็นส่วนใหญ่ ใครจะบวชก็ได้ขอให้มีเงิน(มีเพียงบางวัดที่ไม่สนใจข้อนี้) บางคนเป็นลูกผู้มีอิทธิพล ทั้งที่ทราบดีว่าเขานิสัยแย่ ไม่มีศรัทธาจะบวช แต่ก็ยังรับเข้าบวช บ้างก็อ้างว่าขัดใจไม่ได้(เพราะเขามาเป็นเจ้าภาพทอดกฐินเมื่อปีที่แล้ว) สรุปว่าหากสามารถดึงธรรมวินัยกลับมาใช้ใหม่แทนใบประกอบวิชาชีพ(ตราตั้งพระอุปัชฌาย์)ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ได้ สังคมดงขมิ้นคงจะมีคนดีเข้ามามากขึ้นและคนชั่วก็จะถูกกำจัดออกไปโดยอัตโนมัติ(เช่น เพราะไม่มีอำนาจ ไม่ได้รับเงิน ก็จะออกไปหาอาชีพอื่นฯ)
ทางออกจากวิกฤติพุทธศาสนาที่ล้มเหลวของไทย
กระผมเคยถกกับอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อ มหาน้ำ (นามสมมติที่แปลจากชื่อจริง) เป็นเจ้าคณะอำเภอ โดยท่านสารภาพ/อธิบายตามตรงว่า “ท่านเองไม่เห็นด้วยกับระบอบสมณศักดิ์หรือตำแหน่งการปกครองที่มีอยู่ แต่เหตุที่ท่านรับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเพราะถือเป็นไม้กันหมาในการอยู่ในสังคมสงฆ์ปัจจุบัน นั่นคือท่านต้องการสอนธรรมะ(ตามแนวพุทธพจน์) ซึ่งธรรมดาจะต้องไปขัดผลประโยชน์ของพวกมีอิทธิพลทั้งหลาย เช่นท่านสอนเรื่องการแก้กรรมตามหลักมรรค ๘ ที่ผู้ทำกรรมต้องแก้(เปลี่ยนแปลงนิสัยตนเอง) แต่ผู้มีอิทธิพลก็พยายามจัดพิธีสะเดาะเคราะห์แก้กรรมกันทั่วเพื่อหาเงินเข้าวัดฯ หากท่านไม่ได้เป็นเจ้าคณะอำเภอคงถูกขัดขวางและเด้งไปนานแล้ว เพราะเหตุนี้เองที่อำนาจจึงมีประโยชน์”
ฟังดูแล้วกระผมก็เห็นด้วยกับท่านและคิดว่าเหตุผลนี้น่าจะเป็นคำตอบหรือทางออกที่ดีที่สุดแล้วในเวลานี้ แต่ลึกๆยังมีบางอย่างที่ไม่เห็นด้วย นั่นคือหากเชื่อว่าการมีอำนาจไว้เป็นไม้กันหมา(ต่อให้ไม่เมาในยศก็ตาม) แต่หากวันหนึ่งผู้มีอิทธิพลมีอำนาจสูงกว่าเรามาก เราก็จะต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ยศที่สูงขึ้นเพื่อค้ำคอตัวเองด้วยหรือ? และพระที่ต้องการสอนธรรมะจริงๆ(ซึ่งขัดกับคณะสงฆ์กระแสหลักทำกัน)ก็จะต้องวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ยศมาก่อนหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้การแสวงหายศตำแหน่งก็จะไม่มีวันสิ้นสุด กระผมเห็นว่าสิ่งที่ควรจะเป็นมากกว่าคือการทำให้สังคมเห็นว่ายศอำนาจ(ของพระ)เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ และเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งกับการสื่อให้คนเข้าใจธรรมะ ตัวอย่างง่ายๆเช่นในงานศพคนใหญ่คนโต จะนิยมนิมนต์พระไปเทศน์ และจะต้องเป็นพระที่มีตำแหน่งเช่นเจ้าคณะอำเภอขึ้นไปฯ โดยไม่ได้ใส่ใจว่าท่านสามารถทำให้คนเข้าใจธรรมะได้หรือไม่ ทั้งที่พระหลายรูปมีความสามารถก็แต่ไม่ได้รับการเปิดโอกาส(หรือในความเป็นจริง กลับถูกปิดกั้นโอกาสด้วยซ้ำ)
จึงเป็นการดีหากไม่มีเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ให้ต้องกังวลใจหรือเที่ยวยกหางตนเองและคณะ คนที่มีความสามารถก็ทำประโยชน์ได้เต็มที่โดยไม่ต้องไปเกรงกลัวการขัดผลประโยชน์ของผู้ใด กระผมจึงใคร่ขอเสนอทางออกที่ชัดเจนคือ ยกเลิกการให้สมณศักดิ์และการปกครองมหาเถรสมาคมเสีย อันนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งใหญ่ เลวร้าย และทำไม่ได้เพราะถือเป็นประเพณีที่ทำมาช้านาน แต่ให้ลองพิจารณาข้อดีข้อเสียของการมีการปกครองและระบอบสมณศักด์ประเภทนี้ดู แล้วเล็งถึงผลประโยชน์ที่ชาวพุทธจะพึงได้รับให้มากกว่าการปิดใจแคบหรือคลั้งไคล้ยศอำนาจ
เป็นไปได้มากคือสิ่งที่เสนอไปไม่สามารถทำได้(น่าจะหนักพอกับวาทกรรมเรื่อง มาตรา ๑๑๒) แต่ยังมั่นใจว่าอนาคตเมื่อคนมีปัญญาและยอมรับความเป็นจริงมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะถูกเอามาพิจารณาใหม่เป็นแน่ฯ แต่ให้เข้าใจก่อนว่ากระผมไม่ได้เปรียบเทียบการปกครองคณะสงฆ์กับมาตรา ๑๑๒ ว่าเป็นอันเดียวกัน เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าเป็นประเด็นที่หนักพอๆกันเท่านั้น หลายคนอาจตั้งคำถามต่อว่า เมื่อไม่มีการปกครองคณะสงฆ์(ที่กล่าวถึงการปกครองเป็นหลัก เพราะสมณศักดิ์อยู่ได้ด้วยอาศัยการปกครองระบอบนี้) หรือไม่มีพระสังฆราช ชาวพุทธก็จะไม่มีศูนย์รวมจิตใจให้สงบร่มเย็น? ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่า สมเด็จพระสังฆราชเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธไทยจริงหรือ? กี่คนที่ถึงคราไม่สบายใจก็อาศัยคำสอนพระองค์เป็นที่พึ่งที่ระลึก? ส่วนใหญ่มีแต่กลับเข้าหาพระเครื่อง หมดดู หมดทำเสน่ห์หรือการสะเดาะเคราะห์เสียโดยมากฯ หรือแม้พระองค์มิได้เป็นสังฆราชโดยตำแหน่ง แต่เพราะปฏิปทาการปฏิบัติของพระองค์ดีพร้อมก็ย่อมเป็นสรณะให้แก่ชาวพุทธไปโดยพฤตินัยและมีคุณประโยชน์มากกว่าการได้เป็นอยู่แค่นิตินัยฯ ซึ่งความเป็นจริงพระพุทธเจ้าเองก็ให้เอาพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะอยู่แล้ว นั่นคือมิใช่ให้มีไว้เพียงกราบไหว้หรือปลอบประโลมใจเหมือนพระพุทธรูป แต่มีไว้เพื่อเป็นตัวอย่างในการครองชีพและพัฒนาตนเพื่อยกระดับขึ้นไปถึงขั้นมีปัญญาและพึ่งตนเองได้ในที่สุดฯ
ปัญหาอีกอย่างคือ หากไม่มีการปกครองคณะสงฆ์ บ้านเมืองจะเอาอย่างไรกับพระสงฆ์ ใครจะเป็นผู้ดูแลท่าน? ตอบว่าท่านสามารถดูแลกันได้ด้วยอาศัยธรรมวินัยในการยกย่องและติเตียนกันได้เอง ทุกคนมีพระอุปัชฌาย์ในการบวช จะต้องขึ้นกับพระอุปัชฌาย์ตนอยู่แล้ว เรื่องการรวบรวมรายชื่อพระเข้าพรรษา การสอบธรรม บาลีฯลฯ สิ่งเหล่านี้โยนไปให้นักวิชาการศาสนาหรือสำนักงานพุทธทำได้ เพราะเป็นเรื่องไม่ยากและท่านเหล่านั้นเองจะได้มีงานทำบ้าง(ในแง่ดีคือการทุจริตข้อสอบฯลฯ อาจลดลงด้วยเพราะพระสงฆ์ไม่ได้จัดการกันเอง)ฯ ส่วนเมื่อเกิดปัญหาร้ายแรง นอกจากพระจะจัดการด้วยอธิกรณสมถะแล้ว ทางบ้านเมืองยังสามารถเข้าไปดูแลได้ (เพราะท่านก็เป็นพลเมืองคนหนึ่ง) เช่นท่านขายยาบ้า ตำรวจก็สามารถเข้าไปจับกุมหรือสอบสวนได้ฯ
อยากกลับมาตรงประเด็นที่ว่า ข่มผู้ที่ควรข่มและยกย่องผู่ที่ควรยกย่อง กระผมยังเห็นด้วยกับการจัดการกับพระที่ทำผิดวินัย/หลอกลวงผู้คนมาลงโทษ(โดยไม่ต้องใส่ใจว่าท่านมีตำแหน่งสูงขนาดไหน)และการยกย่องท่านผู้มีความสามารถ แต่การยกย่องนั้นมิใช่ให้สมณศักดิ์ไปปกครองคนอื่น(เพราะขัดกับหลักพุทธศาสนา) แต่ให้เพื่อเชิดชูเกียรติประกาศให้ผู้อื่นเอาเป็นแบบอย่างหรืออย่างน้อยก็ให้ประชาชนเข้าหาท่านมากกว่าจะไปหาคนลวงโลกทั้งหลายฯ ควรเปิดโอกาสให้นักปราชญ์เหล่านั้นมีปากเสียงทางสังคม(ทางวิทยุ โทรทัศน์)ให้มากกว่าเดิม
ความจริงเราสามารถยกย่องพระเหล่านั้นด้วยการให้ชื่อต่อท้ายเช่น บัณฑิต มหาบัณฑิตหรืออัครมหาบัณฑิตก็ได้ (มหาวิทยาลัยทั้งหลายที่ถวายปริญญาดุษฎีท่านก็ทำเช่นนี้) เพราะเป็นเกียรติคุณที่ดีและสร้างประโยชน์แก่สังคมได้จริง ยิ่งกว่านั้นหากการให้รางวัลเช่นนี้ดึงดูดใจโล้นซ่าทั้งหลายก็จะเปิดโอกาสให้ท่านเหล่านั้นตั้งใจเล่าเรียน ศึกษาพระธรรมวินัย(ดีกว่าการไปแจกซองผ้าป่าหาเงิน สร้างตึก เพิ่มยศ) อย่างน้อยเมื่อมีความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้น ท่านจะลดกิเลสตนเองไปได้ในตัว(แม้เจตนาไม่ดีในตอนแรก แต่นานวันจะเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดตนให้ดีขึ้นได้)และยังสามารถสั่งสอนธรรมะที่ถูกต้องแก่ประชาชนอันจะเป็นความเจริญของพระศาสนาอย่างแท้จริงฯ
การยกย่องท่านผู้สร้างคุณประโยชน์นี้แท้จริงแล้วไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้เป็นขวัญหรือกำลังใจท่าน เพราะดังที่อธิบายแล้วว่า ท่านที่มีคุณลักษณะเช่นนี้มิได้ทำความดีเพราะหวังอะไรตอบแทน เช่นท่านพุทธทาส การจะให้รางวัลท่านหรือไม่นั้นไม่สามารถส่งผลต่อความตั้งใจอันดีงามของท่านได้ ส่วนผู้ใดเห็นว่าหากพระไม่มีกำลังใจ(ลาภยศ)ในการทำความดี วันหนึ่งท่านก็จะเลิกทำเสียฯ ให้เข้าใจเถิดว่าคนที่ทำความดีเพราะความคิดเช่นนี้หาได้เป็นคนดีจริงไม่ ในทางตรงกันข้ามหากเป็นเช่นนั้นจริงท่านก็ไม่ควรจะได้รับการยกย่อง การให้เกียรติหรือยกย่องตามแนวที่กระผมได้บรรยายมานี้มีเป้าหมายเพียงเพื่อเชิดชูคนดีให้ปรากฎในสังคม เปิดโอกาสให้ท่านได้พบปะประชาชน ให้ความรู้หรือแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางมากขึ้น เมืองไทยก็จะมีผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีความสามารถจริงและไม่หวังผลตอบแทนเพื่อประโยชน์ตนอันจะเป็นตัวอย่างที่ดีของพุทธบริษัทในรูปแบบใหม่(ซึ่งตรงกับยุคพุทธกาล)
[1] หนังสือ ธรรมศึกษาชั้นเอก ฉบับปรับปรุงใหม่ที่ประกาศใช้ปัจจุบัน, หน้า ๕๔, กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรมจัดพิมพ์เผยแพร่ พ.ศ. ๒๕๕๐
[2] เล่มเดียวกัน หน้า ๖๓
[3] ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งตั้งสมณศักดิ์อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://www.dharma-gateway.com/monk/monk-03-01.htm
[4] ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ขุททกนิกาย สุตนิบาต ข้อ ๓๑๘
[5] ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๑๔๑ อานนฺท เอวํ ทฏฺฐพฺพํ โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.........อานนฺท ภิกฺขุนา นวกตโร ภิกฺขุ นาเมน วา โคตฺเตน วา อาวุโสวาเทน วา สมุทาจริตพฺโพ นวกตเรน ภิกฺขุนา เถรตโร ภิกฺขุ ภนฺเตติ วา อายสฺมาติ วา สมุทาจริตพฺโพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น