วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

พิธีกรรม ใครว่าสำคัญนัก?


พิธีกรรม สัญลักษณ์ที่สะท้อนความอ่อนแอของพุทธศาสนา
เจษฎา กันตเมธี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕
ศาสนาทั้งหลายเมื่อมีการแพร่ขยายไปสู่ถิ่นอื่นอันมิใช่แหล่งกำเนิดดั้งเดิม มักถูกผสมผสานกับความชื่อท้องถิ่นของพื้นที่นั้นๆ ขณะเดียวกันก็มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆตามความเจริญของยุคสมัย นี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แม้ศาสนาพุทธเองก็ตาม อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยก็มิใช่จะมีผลเสียอย่างเดียว หากแต่ต้องระวังไม่ให้หลักการสำคัญของพระศาสนาหายไปด้วย เช่นศาสนาที่นับถือพระเจ้า สามารถปรับปรุงการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ให้ทันสมัยได้โดยมีการศึกษาเรื่อง DNA, Cloning กระทั่งทฤษฎีสัมพัทธภาพฯลฯ แต่ท้ายที่สุดศาสนาเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะยอมปรับตัวจนขั้นปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างโลกและบอกว่าสรรพสิ่งล้วนเกิดจากวิวัฒนาการได้ฯ เพราะเป็นการปฏิเสธอัตลักษณ์ในศาสนาของตนและส่งผลให้คำสอนอื่นๆ(ซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า)พลอยเป็นโมฆะไปด้วยฯ
แน่นอนศาสนาพุทธไม่ได้มีการปฏิเสธวิทยาศาสตร์ในลักษณะดังกล่าว เพราะเป็นศาสนาที่เน้นสาระธรรมมากกว่าตัวผู้สร้าง พระพุทธเจ้าเองก็สารภาพว่าพระองค์เป็นแต่เพียงผู้ค้นพบ(Discover)[1] ธรรมะซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติแล้วเท่านั้น เสร็จแล้วก็นำความจริงที่ได้มาเปิดเผยให้เพื่อนมนุษย์รับทราบ ในเมื่อธรรมะของพุทธศาสนามีพื้นมาจากการค้นพบความจริงของธรรมชาติ ก็เป็นการสอดรับกับวิทยาศาสตร์ไปในตัว(ซึ่งทำการสืบหาความจริง/ความเป็นไปของธรรมชาติอยู่แล้ว) ทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์จึงไม่ได้มีความขัดแย้งถึงขั้นปฏิเสธคำสอนหรือความจริงของกันและกัน ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนประสงค์จะกล่าวในที่นี้คือปัญหาเรื่องการยอมปรับตัวด้านพิธีกรรม (คล้อยตามประเพณี/ความเชื่อดั้งเดิม) เพียงเพื่อสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่โดยไม่สนใจสาระธรรมว่าจะบิดเบือนไปหรือไม่ สิ่งนี้ได้ส่งผลให้พุทธศาสนาในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมากจนภาพของพุทธศาสนา(รวมทั้งบุคคลกรคือพระสงฆ์เอง)ส่วนใหญ่ไม่ได้สะท้อนถึงลักษณะมีเหตุมีผล เป็นสัจธรรมหรือสร้างเสริมปัญญาเพื่อพาคนให้พ้นทุกข์ได้ฯ
 หลายคนมองว่าสิ่งที่พระใช้เป็นเครื่องมือในการสนองความต้องการของผู้คน(หรือสนองผลกำไรของตนเอง)อันเป็นการสนับสนุนความงมงายเช่น การสะเดาะเคราะห์  ต่อชะตา รดน้ำมนต์ หรือปลุกเสกวัตถุมงคลเป็นต้นคือการประกอบพิธีกรรมนั่นเอง ท่านจึงสรุปว่าพิธีกรรมเป็นตัวสะท้อนถึงความเสื่อมโทรมของพุทธศาสนาได้ชัดตัวหนึ่งฯ ขณะที่พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ได้พยายามชี้ให้เห็นภาพอีกแง่หนึ่งของพิธีกรรม คือเมื่อปฏิเสธพิธีกรรมไม่ได้ก็ควรใช้สิ่งที่ทำกันอยู่ให้คุ้มค่า(สื่อให้เห็นสาระธรรมผ่านทางพิธีกรรม)[2] ความจริงพระพรหมคุณาภรณ์ได้พยายามอธิบายและให้ความหมายใหม่ของพิธีกรรมจนกลายเป็นเรื่องดีไป นั่นคือโดยภาพรวมหมายถึงการกระทำที่เป็นรูปแบบ มีระเบียบวินัยฯลฯ และอธิบายให้เห็นโทษของการปฏิเสธพิธีกรรม ซึ่งบทความนี้ผู้เขียนมิได้ต้องการโต้แย้งกับสองความเห็นข้างต้น(ที่ไม่เห็นด้วยกับพิธีกรรมและส่งเสริมพิธีกรรมในทำนองประนีประนอม)เพียงแต่ต้องการให้ชาวพุทธทั้งหลายได้กลับมาพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อหาข้อเท็จจริงและแสดงหลักการที่ชัดเจนของพุทธศาสนาต่อไป
 อย่างแรกที่ต้องพิจาณาคือความหมายที่แท้ของพิธีกรรม เพราะหากถกเถียงหรือแสดงเหตุผลกันไปเฉยๆ โดยยังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรจะทำให้ตกลงและยอมรับความเห็นกันไม่ได้  ที่ต้องทราบก่อนคือในที่นี้กำลังพูดถึงพระพุทธศาสนา ดังนั้นแง่ของการให้ความหมายหรือการสื่อความที่จะใช้ในการถกประเด็นนี้จะเกี่ยวกับพิธีกรรมในทางศาสนาเป็นสำคัญ(เรียกอีกอย่างว่า ศาสนพิธี) “พิธีกรรม” มีการให้ความหมายที่แตกต่างกันดังนี้
๑. พิธี: น งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อความขลังหรือความเป็นสิริมงคล เช่นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีมงคลสมรส พิธีประสาทปริญญา; แบบอย่าง, ธรรมเนียม, เช่นทำให้ถูกพิธี....(ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒)[3]
๒. พิธีกรรม: น.การบูชา, แบบอย่างหรือแบบแผนต่างๆที่ปฏิบัติในศาสนา (ราชบัณฑิตยสถาน ๒๕๔๒)[4]
๓. พิธีกรรม แปลว่า การกระทำที่เป็นพิธี คือวิธีที่จะให้สำเร็จผลที่ต้องการหรือการกระทำที่เป็นวิธีการเพื่อผลที่ต้องการหรือการนำไปสู่ผลที่ต้องการ (หน้า ๔)... (มีเป้าหมายคือ) ๑ เป็นจุดนัดพบให้ทุกคนที่ตอนแรกยังกระจัดกระจายอยู่มารวมเป็นจุดเดียวกัน ๒. เป็นจุดนัดหมายว่าจะเริ่มเรื่องนั้นแล้ว[5] (ป.อ.ปยุตฺโต ๒๕๕๑)
๔. พิธีกรรมยังมีความหมายมากกว่านั้นคือ เป็นเครื่องฝึกวินัยหรือเป็นพื้นฐานที่จะฝึกฝนพัฒนาคนในด้านศีล (หน้า ๗)
สังเกตได้ว่าความหมายที่ให้โดยพระพรหมคุณาภรณ์ มีความถูกต้องที่สามารถแปลตามศัพท์ได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา แต่ดังที่ผู้เขียนระบุแต่ต้นแล้วว่า ในที่นี้มุ่งเอาความหมายที่แท้ของพิธีกรรมในแง่ที่เกี่ยวโยงกับศาสนาเท่านั้น นั่นคือเมื่อพูดเรื่องศาสนาและพาดพิงถึงพิธีกรรม คนทั้งหลายจะเข้าใจพิธีกรรมไปทำนองการทำพิธีเพื่อความขลัง ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นสิริมงคลตามนิยามของราชบัณฑิตจริงๆ การที่เด็กมีระเบียบวินัย ยืนเข้าแถวหน้าเสาธงทำกิจกรรม ยืนต่อแถวเพื่อรอรับอาหารกลางวันหรือการกล่าวคำเคารพคุณครูก่อนเริ่มบทเรียนฯลฯ แม้จะเป็นการทำตามระเบียบ เป็นความพร้อมเพรียง ฝึกวินัยเด็กแต่จะไม่มีใครมองว่าเด็กเหล่านั้นกำลังทำพิธีกรรม ฯ พิธีกรรมในสามัญสำนึกของคนทั่วไปจึงเจาะจงเฉพาะเรื่องการทำพิธีทางศาสนาเพื่อมุ่งความขลัง ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นสิริมงคลเท่านั้น นั่นคือคำนิยามที่หมายเอาความพร้อมเพรียงหรือระเบียบวินัยของพระพรหมคุณาภรณ์ไม่ได้ผิด เพราะตัวพิธีกรรมเองก็มีลักษณะเช่นนั้นแฝงอยู่ แต่หากยึดเอาความหมายของท่านก็จะกลายเป็นว่าทุกอย่างที่ทำในชีวิตแทบจะเป็นพิธีกรรมหมดเลย ตั้งแต่ตื่น ทำกับข้าว รับประทานอาหารตลอดจนเข้านอน ซึ่งหากกล่าวถึงพิธีกรรมฐานะเป็นตัวระเบียบวินัยก็คงไม่มีปัญหาให้ผู้ใดโต้เถียงอยู่แล้ว เพราะทุกคนยอมรับระเบียบวินัย แต่ประเด็นสำคัญคือปัญหาที่เกิดในปัจจุบันพิธีกรรมมีความหมายที่สื่อไปในทางลบมากกว่าที่พระพรหมคุณาภรณ์ให้ไว้ อย่างไรก็ตามท่านได้แบ่งพิธีกรรมที่ท่านกำลังกล่าวถึงออกจากศาสนาพิธีได้ชัดเจน(เมื่อดูอ้างอิงอธิบายเป้าหมายข้อที่ ๒ )ฯ ดังนั้นเมื่อมาถึงขั้นนี้ทำให้เราตัดปัญหาเรื่องความขัดแย้งไปได้ นั่นคือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงไม่ได้หมายเอาพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนเข้าใจ กล่าวคือทั้งสองฝ่ายมุ่งเอาความหมายคนละอย่าง ฝ่ายแรกหมายเอาการทำพิธีของพระสงฆ์หรือชาวพุทธเพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์อาศัยอำนาจดลบันดาล ส่วนพระพรหมคุณาภรณ์หมายเอาการกระทำที่เป็นรูปแบบ หรือพร้อมเพรียงเพื่อทำกิจอย่างหนึ่งอย่างใดให้สำเร็จฯ แม้ในบทความนี้ก็พึงทราบว่าประสงค์เอาความหมายข้อแรก คือพิธีที่มุ่งหวังความศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นสิริมงคลฯ
ดร.คุณหญิงสุริยา รัตนกุล ได้อธิบายความหมายนี้โดยแบ่งตามอรรถลักษณ์คือให้ความหมายเป็นหน่วยโดยนำความหมายของราชบัณฑิตยสถานมาจำแนกใหม่ให้สอดคล้องกับความหมายในแง่ของศาสนาได้ดังนี้
        พิธี   (ก) เป็นการจัดงาน
                (ข) จัดขึ้นตามลัทธิความเชื่อ
                (ค) จัดตามขนบธรรมเนียมประเพณี
                (ง) เป็นการจัดขึ้นเพื่อความขลัง
                (จ) เป็นความจัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล
ประเด็นที่ท่านเน้นคือเรื่องความความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง นั่นคือท่านให้เหตุผลว่า “หากพิธีกรรมใดมิได้ทำเพื่อความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งก็ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนา”[6] และได้แบ่งองค์ประกอบของพิธีกรรมออกเป็น ๒ ส่วนคือ (๑) ความสูงส่ง (Holy) และ (๒) ความศักดิ์สิทธิ์ (Sacred) นั่นคือผู้ประกอบพิธีต้องมีความเชื่อเรื่องสิ่งเหลือธรรมชาติบางอย่างก่อนว่ามีอยู่จริง(สิ่งนั้นรวมเอาวัตถุเข้าด้วย) จากนั้นจึงส่งผลไปยังความเชื่อข้อที่สองว่า เมื่อเป็นผู้สูงส่งเหนือธรรมชาติก็จะต้องมีความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ในตัวสามารถประสาทพรบางอย่างให้แก่ตนเอง(ผู้ประกอบพิธีกรรม)ได้
เมื่อการทำพิธีกรรมดำเนินไปตามหลักความเชื่อหรือแบบแผนของศาสนานั้นๆ การจะกล่าวถึงพิธีกรรมในพุทธศาสนาจึงจำเป็นต้องทราบหลักการหรือแบบแผนของพุทธศาสนาเสียก่อน ในแง่ของพิธีกรรม พุทธศาสนามุ่งเน้นเรื่องการใช้ปัญญาความสามารถที่ได้จากการฝึกฝนตน[7] มาเป็นเครื่องมือจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องอาศัยศรัทธา(ที่มองไม่เห็น)หรืออ้อนวอนผู้ใดให้ดลบันดาล การสอนอริยสัจ ๔ เป็นเนื้อหาที่ชัดเจนพอกับการแก้ปัญหาแบบชาวพุทธ นั่นคือ ๑.ให้รู้จักสภาพความทุกข์ ๒. ให้พยายามละเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ ๓. มั่นใจว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก และ ๔. ไม่นิ่งเฉย/เศร้าโศกแต่กลับดำเนินชีวิตตามทางที่ถูกต้องเพื่อแก้ปัญหานั้น[8]
การเกิดขึ้นของพุทธศาสนาเป็นการปฏิเสธความเชื่อและพิธีกรรมในยุคนั้น กล่าวคือผู้คนในศาสนาพราหมณ์ตั้งแต่ครั้นที่พระองค์ยังพระชนม์อยู่ต่างมุ่งการประกอบพิธีกรรมเป็นสำคัญ เมื่อผู้คนประสบทุกข์ก็มีการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ ทำความผิดก็ลงไปอาบน้ำลอยบาปในแม่น้ำ แม้นักบวชผู้หวังความพ้นทุกข์ก็พากันค้นหาวิธีบูชาเทพเจ้าหรือบ้างก็บูชาไฟเช่นชฎิล ๓ พี่น้อง ส่วนที่ทรมานร่างกายตนเองก็ทำโดยขาดสติปัญญาฯลฯ พระองค์เองบ้างก็เคยปฏิบัติเช่นนั้น แต่ครั้นเปลี่ยนแนวทางการฝึกฝนจิตใจ รู้ทันสภาพความจริงที่เกิดขึ้น(วิปัสสนา) จึงได้สรุปว่าไม่มีทางใดเลยจะพ้นจากปัญหาหากไม่มีปัญญามองเห็นเหตุการณ์ตามความเป็นจริงและแก้ปัญหาตรงต้นเหตุนั้น(อริยสัจ) พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยการประกอบพิธีกรรม ไม่มุ่งแสวงหาสิ่งเหนือธรรมชาติเช่นอิทธิปาฏิหาริย์[9] แต่เป็นการสอนให้ผู้คนรู้ความจริงของธรรมชาติและดำรงชีวิตด้วยความฉลาดรอบคอบ(มีสติ สัมปชัญญะ) ส่วนวิธีล้างบาป/แก้กรรมนั้นจะลงไปอาบน้ำล้างหรือจัดพิธีกรรมให้ใหญ่โตอย่างไรก็ไม่หาย ต้องอาศัยวิธีของมรรค ๘ เป็นเครื่องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตนเองเท่านั้น[10] พระองค์จึงสอนให้ทุกคนไม่ประมาทและพึ่งตนเองไม่หวังให้อำนาจใดมาชำระล้างความชั่วและเสริมความเป็นสิริมงคลจากภายนอกฯ
เรื่องความเป็นสิริมงคลก็เป็นเป้าหมายอันหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมที่นิยมกัน มงคลในทางพุทธศาสนาเป็นมงคลที่ได้จากกระประพฤติเช่นเดียวกับหลักการเรื่องอื่นๆ นั่นคือไม่เคยมีมงคลใดใน ๓๘ ประการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เกียจคร้าน อยู่เฉย หรือไปทำพิธีกรรมเพื่อรับอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างจะเริ่มจากการลงมือทำเช่น หลีกเลี่ยงคนพาล คบหาบัณฑิต ยกย่องคนดี(บูชาผู้ควรบูชา)ฯลฯ ข้อนี้พระพุทธองค์ตรัสเปรียบไว้อย่างน่าฟังในธรรมบทว่า การจะบูชายัญประกอบพิธีใหญ่เป็นร้อยปี ยังสู้การบูชา(ยกย่อง เข้ารับใช้ และประพฤติตามคำแนะนำของ)ท่านผู้ควรบูชาครั้งเดียวก็ไม่ได้[11] เหตุผลเพราะการบูชา/จัดพิธีด้วยอามิสมากมายกลับไม่ช่วยอะไรเลยในการเสริมสร้างปัญญา เรื่องมงคลนี้จึงสรุปว่าต้องเกิดจากการลงมือทำด้วยตนเองเท่านั้น ดังกล่าวมาพอจะแสดงให้เห็นหลักการสั้นๆของพุทธศาสนาที่มีต่อเรื่องการประกอบพิธีกรรมโดยมีจุดประสงค์เพื่อความขลัง ศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นสิริมงคลได้ชัดเจน
ส่วนพิธีกรรมที่จัดในเมืองไทยเช่น การสะเดาะห์เคราะห์ ต่อชะตา สืบอายุ เข้านอนในโลงศพ ถอนคำสาบ[12] แม้กระทั่งถวายสังฆทานอุทิศเจ้ากรรมนายเวรหรือลูกที่ไปทำแท้งมาเป็นต้น[13] สิ่งเหล่านี้ล้วนมีจุดหมายเพื่อความสบายใจและหวังอย่างงมงายทั้งสิ้น(คงไม่มีใครกล่าวว่าประกอบพิธีเหล่านี้เพื่อเสริมสร้างปัญญาหรือยังจะบอกว่าพิธีกรรมเหล่านี้สำคัญต่อพุทธศาสนา?) ประเด็นที่น่าสนใจคือพระสงฆ์ส่วนใหญ่ต่างพากันสนับสนุน ที่ไม่เห็นด้วยมีบ้างก็เก็บตัวเงียบไม่กล้าชี้แจงหลักการที่ถูกต้องอย่างเปิดเผย พิธีกรรมเหล่านี้ยิ่งนานวันกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาไทยไปแล้วฯ
อาจกล่าวได้ว่าตัวพุทธศาสนาที่แท้มิได้มีพิธีกรรม การบวชเริ่มแรกพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสเพียงว่า เธอได้เป็นภิกษุแล้ว[14] ต่อไปเมื่ออนุญาตให้สาวกบวชกันได้ก็อาศัยการกล่าวถึงพระรัตนตรัย(พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิฯลฯ) ครั้นปัจจุบันก็เป็นแบบอาศัยสงฆ์ตกลงกัน มีการสวดญัตติ ซึ่งความจริงการบวชประเภทหลังนี้ก็มิได้เป็นพิธีที่ขลังหรือศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการขอความเห็นสงฆ์และอนุมัติให้ผู้นั้นเป็นพระเท่านั้นเอง แม้ประเด็นนี้ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทราบ บ้างก็คิดว่ามีการยัดความเป็นพระให้ บ้างก็แอบเอาของขลังเข้าไปปลุกเสกฯ ความจริงให้นึกภาพส.ส. อภิปรายเพื่อขอมติส่วนใหญ่ในสภาเท่านั้นเอง[15] อาจมีผู้สงสัยอีกว่า ก็การประกอบพิธีนี้จะไม่เรียกว่าพิธีกรรมหรือ? ตอบว่าหากมุ่งเอาความหมายในทางศักดิ์สิทธิ์หรือขลัง การบวชก็มิได้เป็นพิธีกรรม เพราะเป็นแต่เพียงการทำกิจกรรมของพระเท่านั้นเอง รวมไปถึงกิจกรรมกรานกฐิน อธิษฐานเข้าพรรษา ปวารณาออกพรรษาฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่มีเรื่องความขลังหรือศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องเลย แต่เมื่อมีญาติโยมเข้ามามีส่วนร่วม หลายวัดจึงถือเป็นการเปิดโอกาสจัดพิธีใหญ่เพื่อแสวงหาลาภโดยจัดพิธีเน้นไปในทำนองขลังหรือสร้างความสบายใจให้แก่ผู้ร่วมงาน ความจริงการต้อนรับผู้คนสามารถทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จัดให้มีการฟังธรรมหรือปฏิบัติธรรมก็ได้(ธรรมปฏิสันถาร)ฯลฯ แต่เมื่อทางวัดขาดคนมีความรู้ ขาดเจตนาที่ดีและหวังผลประโยชน์จากผู้มาเยือน กิจกรรมส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงผูกพันธ์กับเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างแยกกันไม่ออกฯ
กล่าวโดยสรุปคือพิธีกรรมในทัศนะของคนทั่วไปกลายเป็นแง่ลบไปเสียแล้ว เป็นพิธีที่ขัดกับหลักการของพุทธศาสนาคือไม่ส่งเสริมปัญญาแก่ผู้เข้าร่วม เมื่อหมายเอาความหมายเช่นนี้การจะบอกว่า “พุทธศาสนาเสื่อมแล้ว พระเอาแต่ทำพิธีกรรมแสวงหาลาภ” ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความจริง ส่วนกิจกรรมที่พระควรทำทั้งหลายเช่นการบวชเป็นต้นหากไม่ใช้คำว่าพิธีกรรม(ซึ่งเป็นคำใหม่) เราสามารถใช้คำเก่าคือ สังฆกรรมแทนได้(The monk’s duty) แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช้คำไหน สิ่งที่ต้องยอมรับตรงกันคือหากพระสงฆ์ยังจะประกอบพิธีเช่นนี้ต่อไป (อาจเพื่อปลอบโยนพุทธบริษัทหรือผลประโยชน์ตนก็แล้วแต่) โดยไม่ยอมศึกษาและสอนผู้คนตามหลักของพระศาสนา แม้จะชื่อว่าเป็นชาวพุทธก็จะได้ประโยชน์จากศาสนาน้อยเต็มที ความจริงพุทธศาสนาจะเสื่อมนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะโดยเนื้อหาแล้ว พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีเหตุผล การจะฟื้นฟูพุทธศาสนาในยุคที่สังคมเจริญ ผู้คนมีการศึกษานั้นไม่ใช่เรื่องยากเพราะไม่ต้องกล่อมใครให้หลงเชื่อ(ในสิ่งที่มองไม่เห็น) ปัจจัยเดียวเท่านั้นซึ่งสำคัญคือจะต้องส่งเสริมให้พุทธบริษัททั้ง ๔ สนใจศึกษาพระศาสนาให้เข้าใจจนสามารถปฏิบัติตามได้และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ประกอบพิธีกรรมที่ไร้สาระ หลอกลวงให้งมงายอีกต่อไปฯ
เมื่อถือเอาความหมายของพระพรหมคุณาภรณ์ (โดยมิได้ศึกษาความหมายของท่านให้ชัดเจน)สมัยปัจจุบันอาจเสี่ยงมากนั่นคือพระสงฆ์และฆราวาสที่หวังกอบโกยผลประโยชน์จากความเชื่อแบบงมงายของชาวบ้านสามารถนำมาใช้เป็นประโยคในการกล่าวอ้างว่า  “พิธีกรรม ใครว่าไม่สำคัญ” จากนั้นก็พากันประกอบพิธีซึ่งไม่มีสาระธรรมแฝงอยู่เลย(และไม่เคยคิดจะสอนธรรมะจริงๆ) แต่เมื่อใดสามารถทำความงมงายทั้งหลายให้หายไปได้ พระสงฆ์ทั้งหลายทำหน้าที่สั่งสอนธรรมอย่างถูกต้อง การจัดกิจกรรมต่างๆของชาวพุทธและแม้ของพระเองจะใช้คำว่า กิจกรรมหรือพิธีกรรมก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะเป็นการมุ่งเน้นความพร้อมเพรียงและฝึกฝนวินัย อีกทั้งยังทำกิจนั้นให้สำเร็จเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและส่วนรวมฯ
.......................................................................................................


[1]   อุปปาทสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต  [๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดาก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง...สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์...ธรรมทั้งปวง(สรรพสิ่ง)เป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่าย [๕๗๖]  ๑๓๗  อุปฺปาทา  วา  ภิกฺขเว  ตถาคตาน  อนุปฺปาทา วา ตถาคตาน  ิตาว  สา  ธาตุ  ธมฺมฏฺิตตา  ธมฺมนิยามตา สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ....สพฺเพ  สงฺขารา  ทุกฺขาติ....สพฺเพ  ธมฺมา  อนตฺตาติ ตํ  ตถาคโต อภิสมฺพุชฺฌติ อภิสเมติ   อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา   อภิสเมตฺวา   อาจิกฺขติ  เทเสติ  ปฺาเปติ ปฏฺเปติ   วิวรติ   วิภชติ  อุตฺตานีกโรติ....ฯ
[2] “หลายคนบอกว่า มันเสื่อมจนเหลือแต่พิธีกรรม แย่แล้วพุทธศาสนา...ทีนี้เรามองพลิกกลับเสียใหม่ว่า พระพุทธศาสนายังเหลือพิธีกรรมอยู่ ก็แสดงว่ายังไม่หมดไปทีเดียว ยังคงเหลือพิธีกรรมเป็นรูปแบบอยู่ ตามธรรมดานั้นรูปแบบต้องมีเนื้อหาสาระจึงจะถูกต้อง แม้เหลือแต่รูปแบบ ไม่มีเนื้อหาสาระก็ไม่มีความหมายอะไร” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พิธีกรรม ใครว่าไม่สำคัญ, หน้า ๘. พิมพ์ครั้งที่ ๖. บริษัทพิมพ์สวยจำกัด, กรุงเทพฯ ๒๕๕๑
[3] ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ Oxford ให้ความหมายคล้ายกันว่า Rite: n. a ceremony performed by a particular group of people, often for religious purpose; funeral rites / initiation rites ( = performed when a new member joins a secret society) Oxford Advanced Learner’s Dictionary, p.1278, New 8th edition, Oxford University Press’2010
[4] Ritual: 1 n. a series of actions that are always performed in the same way, especially a part of a religious ceremony: religious ritual. 2 Something that is done regularly and always in the same way. สังเกตว่าพิธีกรรมในความหมายที่ ๒ นี้มุ่งเอาการกระทำทั่วไปซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาซึ่งตรงกับนิยามของพระพรหมคุณาภรณ์ฯ อีกศัพท์หนึ่งที่ควรทราบคือ Ceremony: n. a public or religious occasion that includes a series of formal or traditional actions: an awards/opening ceremony, a wedding/marriage ceremony. P.228  
[5] ได้อธิบายต่อว่า...๒. เป็นจุดนัดพบเพื่อจะเริ่มเรื่องนั้นแล้ว “ก่อนถึงพิธียังพูดจา ยังหันไปทางโน้นทางนี้ ยังเคลื่อนไหววุ่นวายกันอยู่ ยังคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่พอบอกว่าเริ่มพิธีทุกคนก็หยุดหมด ต้องหันกลับมาสนใจ เตรียมทำสิ่งเดียวกัน....ว่าที่จริงการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องของชุมชนหรือเรื่องของส่วนรวมก็ต้องมีพิธีกรรม มันอาจจะไม่ใช่พิธีกรรมตามแบบอย่างที่เราเข้าใจ ที่เป็นของโบราณ เป็นศาสนพิธี (หน้า ๖)
[6] ศ.ดร.คุณหญิง สุริยา รัตนกุล, พิธีกรรมในศาสนา ภาค ๑, หน้า ๑ . เพชรรุ่งเรืองการพิมพ์, นนทบุรี, ๒๕๔๙
[7] ทั้ง ๓ ด้าน คือพฤติกรรม(ศีล) จิตใจ(สมาธิ)และปัญญา รวมเรียกว่า ไตรสิกขา (ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หมวดที่ ๓ สังคีติสูตร)
[8] อริยสัจคือการสอนให้คนทราบความจริง ๔ ข้อได้แก่ ทุกข์ สภาพความลำบาก ไม่สบายกาย/ใจ จะเรียกว่าปัญหาก็ได้ วิธีจัดการหรือท่าทีต่อความทุกข์นี้คือพยายามรับรู้ เรียนรู้เท่านั้น ไม่ใช่ให้เป็นทุกข์, สมุทัย สาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ พุทธศาสนาสอนว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุ และที่สำคัญมนุษย์เองเป็นคนทำเหตุนั้น(เมื่อทำเหตุเองแล้วจะรอให้ใครมาแก้ให้) วิธีจัดการกับสมุทัยคือต้องพยายามละเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์เสีย, นิโรธ สภาพที่พ้นจากทุกข์ ข้อนี้จะประสบได้ก็ต่อเมื่อดำเนินชีวิตได้ถูกต้องตามมรรค ท่าทีต่อนิโรธคือต้องมองให้ออกว่าชีวิตสามารถพ้นจากทุกข์หรือปัญหาทั้งปวงได้, มรรค เป็นวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีปัญญาฯลฯ เมื่อดำเนินชีวิตตามนี้ก็จะไม่พาชีวิตให้ต้องประสบทุกข์หรือปัญหาอีกฯ (วินัยปิฎก มหาวรรค เรื่องโปรดปัญจวัคคีย์แสดงธรรมจักรฯ ข้อ ๑๒)  
[9] ปาฏิหาริย์นี้เป็นประเด็นใหญ่ นั่นคือมิใช่พุทธศาสนาปฏิเสธว่าไม่มีปาฏิหาริย์อะไรเลย หรือว่าไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติ(ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์จะเข้าใจกฎนั้นแล้วเอากฎนั้นมาใชประโยชน์หรือไม่ เช่นฝนตก มนุษย์ยุคก่อนอาจเข้าใจว่าเป็นอำนาจของเทวดาที่ประทานให้แก่ตน เมื่อต้องการฝนก็พากันสวดอ้อนวอนท่าน แต่เมื่อมีคนมาเข้าใจความจริงเห็นว่าต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างในการก่อให้เกิดฝน เขาก็สามารถเตรียมปัจจัยเหล่านั้นให้พร้อมและทำให้ฝน(เทียม)ตกได้โดยไม่ต้องไปขอร้องใคร) นั่นคือทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด แต่เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจจึงโยนให้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ อีกอย่างพุทธศาสนาเน้นเรื่องอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือความสามารถในการสอนให้คนปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นสำคัญ พระพุทธเจ้าทรงรังเกียจปาฏิหาริย์ ๒ ประเภทแรกคือการแสดงฤทธิ์และการทายใจผู้อื่น ด้วยเห็นว่าทั้งสองข้อนั้นไม่ได้ช่วยให้คนฉลาดขึ้น พึ่งตนเองและออกจากทุกข์ได้(เกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ข้อ ๓๓๘)ฯ
[10] คยากัสสปเถรคาถา [๓๔๑] เราลงไปลอยบาปในแม่น้ำคยา ที่ท่าคยาผัคคุ วันละ ๓ ครั้ง คือ เวลาเช้า เวลาเที่ยง เวลาเย็น เพราะคิดเห็นว่า บาปใดที่เราทำไว้ในชาติก่อน บัดนี้ เราจะลอยบาปนั้นในที่นี้ ความเห็นอย่างนี้ได้มีแก่เราในกาลก่อน บัดนี้เราได้ฟังวาจาอันเป็นสุภาษิต เป็นบทอันประกอบด้วยเหตุผลแล้วพิจารณาเห็นเนื้อความได้ถ่องแท้ตามความเป็นจริงโดยอุบายอันชอบ จึงได้ล้างบาปทั้งปวง เป็นผู้ไม่มีมลทิน หมดจด สะอาด เป็นทายาทผู้บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า เป็นบุตรผู้เกิดแต่พระอุทรของพระพุทธเจ้า เราได้หยั่งลงสู่กระแสน้ำ คือ มรรคอันมีองค์ ๘ ลอยบาปทั้งปวง แล้วเราได้บรรลุวิชชา ๓ และได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว (ขุททกนิกาย เถรคาถา)
[11]  มาเส มาเส สหสฺเสน   โย ยเชถ สตํ สมํ  เอกฺจ ภาวิตตฺตานํ   มุหุตฺตมปิ ปูชเย  สา เยว ปูชนา เสยฺโย   ยฺเจ วสฺสสตํ หุตํ ฯ การบูชาของผู้ที่บูชาท่านผู้มีตนอันอบรมแล้วคนหนึ่ง แม้เพียงครู่หนึ่ง ประเสริฐกว่าการบูชาของผู้ที่บูชาด้วยทรัพย์พันหนึ่งตลอดร้อยปีเสมอทุกเดือนๆ การบูชาตั้งร้อยปีนั้นจะประเสริฐอะไร (ขุททกนิกาย ธรรมบท สหัสวรรค)
[12] พิธีถอนคำสาบนี้ ผู้เขียนได้พบด้วยตนเองครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เจ้าอาวาสเป็นถึงกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งก็สงสัยว่าไฉนยังจัดพิธีเช่นนี้ อีกอย่างที่น่าตั้งข้อสังเกตคือคำสาบในที่นี้หมายถึงอะไร? หากเชื่อว่ามีผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงพลานุภาพสาบไว้ ทำให้คนต้องตกทุกข์ได้ยาก ก็ถือเป็นมิจฉาทิฏฐิขัดกับหลักการของพุทธศาสนาอย่างมาก นั่นคือเวรกรรมเป็นของส่วนตัว ไม่มีใครสามารถสาบให้ผู้อื่นดีหรือชั่วตามความปรารถนาของตนได้ฯ แม้การบรรลุธรรรม พระพุทธเจ้าจะเสกให้สาวกบรรลุก็ไม่ได้ฯ หากเชื่อว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำสาบหรือคำอวยพร มนุษย์ทุกคนคงมีความสุข ร่ำรวยกันถ้วนหน้าโดยไม่ต้องดิ้นรนขวนวายแต่อย่างใดฯ
[13] ไม่ใช่ว่าการถวายสังฆทานไม่มีประโยชน์เลย เป็นแต่เพียงการทำทานธรรมดาเท่านั้นเอง เพราะความชั่วที่ทำแล้วไม่สามารถลบล้างได้ด้วยอามิสหรือสิ่งของ(หากเป็นเช่นนั้นจริงคนรวยก็ถวายสังฆทานครั้งเดียว ๑๐๐ ล้านบาทและคงจะทำแท้งไปตลอดชีวิตได้) การทำเช่นนี้จึงเป็นเพียงการปลอบใจเบื้องต้น และมีโอกาสสงเคราะห์ผู้มีศีลด้วยปัจจัยคืออาหารเป็นต้นเท่านั้น แต่ผู้ที่ทำความผิดมาแล้วต้องรู้สึกสำนึกในโทษและไม่ทำสิ่งนั้นอีกต่อไป กอปรกับต้องทำความดีอยู่เรื่อยๆ(ความจริงทุกคนต้องทำความดีเช่นนี้อยู่แล้วไม่เฉพาะแต่คนที่ทำผิดมา) ทั้งให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา(ปฏิบัติธรรม) เพิ่มพูนปัญญาให้เกิดแก่ตนอยู่เสมอฯลฯ จึงจะช่วยคนทำผิดได้ ส่วนเจ้ากรรมนายเวรก็ยังเชื่อผิดๆกันว่าต้องเป็นดวงวิญญาณตามมาทำร้าย เช่นหักพวกมาลัยรถให้ชนเสาไฟฟ้าเป็นต้น ที่ว่าความเชื่อเช่นนี้ผิดเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงฆาตกรทั้งหลายก็คงไม่ต้องรอให้ตำรวจมาจับ เดี๋ยวเขาก็จะถูกดวงวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรบีบคอตายไปเองฯ เรื่องกฎแห่งกรรมนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถตีความตามตัวได้ กฎแห่งกรรมของมนุษย์เขาจะทำงานเองเหมือนศาลยุติธรรม(ที่ยุติธรรมจริงๆ) เช่นเรื่องฆาตกรรม คนร้ายที่ถูกจับได้และประหารชีวิตเป็นเพียงโทษในปัจจุบันเท่านั้นและโทษนี้ก็เป็นกฎที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง จึงไม่แน่นอน นั่นคือเขาอาจรอดชีวิตอย่างลอยนวนก็ได้(ทั้งไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาทำร้าย) แต่กฎแห่งกรรม(ไม่ต้องอาศัยนายสุวรรณมาบันทึก) ซึ่งเขาเป็นคนทราบและเจตนาทำด้วยตนเองจะให้ผลแก่เขาโดยทางใดทางหนึ่ง หรือบางทีอาจไม่ใช่ชาตินี้(กรณีที่มีบุญค้ำชูอยู่มาก) กฎนี้จึงเป็นเหมือนศาลยุติธรรมดังกล่าวแล้วแต่ต้น นั่นคือศาลจะเป็นผู้ลงโทษเอง มิใช่คู่อริ เพราะหากเป็นคู่อริตอบสนองกัน เวร(โทษ)ก็จะไม่สิ้นสุด ผลัดกันทำ ถือเป็นการสร้างความชั่วเพิ่มขึ้นอีกฯ จึงให้สบายใจได้ว่าไม่มีดวงวิญญาณที่ไหนจะมาคอยหลอกหลอนหรือทำร้ายมนุษย์ ส่วนเจ้ากรรมนายเวรที่มีจริงคือคนในชาตินี้ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เพราะเราอาจเคยทะเลาะสร้างศรัตรูกับผู้ใดไว้ วิธีการจะทำให้เขารักเราจึงไม่ใช่การถวายสังฆทาน แต่เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และให้อภัยกัน พุทธศาสนามีการแผ่เมตตา สิ่งนี้มิใช่มีไว้เพื่อเป็นคาถามหาเสน่ห์ แต่เพื่อกล่อมเกลาใจเราเองให้เป็นคนมีเมตตากรุณา ไม่ทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่นฯ หากไม่เข้าใจแม้แต่เรื่องเหล่านี้ พิธีกรรมง่ายๆเช่นถวายสังฆทานก็จะเป็นไปเพื่อสนองมิจฉาทิฏฐิอีกตามเคย
[14] “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้.....ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” เอหิ  ภิกฺขูติ  ภควา  อโวจ  สฺวากฺขาโต  ธมฺโม จร พฺรหฺมจริยํ สมฺมา  ทุกฺขสฺส  อนฺตกิริยายาติ ฯ วินัยปิฎก มหาวรรค ข้อ ๑๘
[15] แน่นอนว่าพุทธศาสนามิใช่อาศัยเสียงส่วนใหญ่เสียทีเดียว แต่อาศัยความถูกต้องเป็นหลัก เช่นการอุปสมบท แม้ภิกษุส่วนใหญ่เห็นด้วย เพียงรูปเดียวเท่านั้นเห็นแย้งแต่สามารถอธิบายเหตุผลที่ตรงตามธรรมวินัยได้เป็นต้นว่า ท่านทราบว่าผู้กำลังจะบวชเป็นคนชั่ว เคยทำอาบัติปาราชิกมาแล้วสมัยบวชครั้งก่อน ที่ประชุมก็ต้องเชื่อผู้นั้นฯ

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วารสาร HOMELESS

แนะนำหนังสือ
คลิกที่หนังสือเพื่อ Download
HOMELESS 01 โล้นซ่าหลอกลวงประชาชน ๑๕๗ หน้า



HOMELESS 02 สุภาษิตในธรรมบท ๒๑๔ หน้า
๑. โล้นซ่าหลอกลวงประชาชน เป็นการรวบรวมบทความที่เขียนโพสต์ในเว็บไซด์มาเป็นระยะเวลา ๖ เดือน ตั้งใจจะเขียนให้ได้ ๓ เดือนจึงจัดทำเป็นหนังสือหนึ่งครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้ทันเวลาฯ จึงสรุปว่า พร้อมเมื่อใดก็จะเผยแผ่เมื่อนั้น (เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อซึ่งขนาดตัดภาระกิจหลายอย่าง เช่นการออกหากิจนิมนต์ แจกซองผ้าป่า ประจบชาวบ้าน สวดศพเป็นต้นทิ้งไป แต่ก็ไม่ทราบว่าเวลาที่เหลือหายไปไหนฯ)
๒. สุภาษิตในธรรมบท เป็นการแปลพระไตรปิฎก เล่มขุททกนิกาย(ธรรมบท) เป็นเนื้อหาที่ไม่รุนแรง(เท่าเล่มแรกคือโล้นซ่าฯ) เล่มนี้สามารถใช้เป็นหนังสืออ้างอิง สำหรับผู้เขียนบทความ วิทยานิพนธ์ รายงาย...เกี่ยวกับพุทธศาสนาได้ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการอ่านเล่นยามว่าง ก่อนนอน เล่านิทานให้ยายฟังแทนชุดชาดกฯลฯ ดีกว่าการไปพิมพ์จดหมายลูกโซ่ ชินบัญชร พุทธทำนาย บละ ๆๆๆ ซึ่งไม่ได้เพิ่มพูนความเข้าใจในการดำเนินชีวิตได้เลย
          ขอยกตัวอย่างการเขียนอ้างอิงดังนี้ครับ สมมติท่านต้องการกล่าวถึงภาษิตหนึ่งเช่น
                  อจิรํ วตยํ กาโย           ปฐวึ อธิเสสฺสติ (๔๑)
                  ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ    นิรตฺถํว กลิงฺครํ ฯ
กายนี้ไม่นานหนอจักนอนทับแผ่นดิน(ตาย) คนทั้งหลายนำไปทิ้ง ปราศจากความรู้สึก ประดุจท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์ฯ
            หากเขียนบทความฯเป็นภาษาไทย ให้ดูในหนังสือว่าอยู่ในหมวด/วรรคไหน เช่นพบว่า เป็นจิตวรรค ก็เขียนอ้างอิงเป็น ขุททกนิกาย ธรรมบท จิตวรรคฯ ส่วนภาษาอังกฤษง่ายกว่ามาก เพียงระบุชื่อหนังสือและตามด้วยเลขท้ายซึ่งระบุลำดับข้อว่า Dhammapada 41.




Homeless 03 รวบรวมบทความทางพุทธศาสนา
เป็นการรวบรวมบทความทั้งหมด(ที่เห็นว่าพอได้เรื่อง?) มารวบรวมไว้เป็นเล่มหนังสือ อันจะเป็นการรักษาบทความอีกทางหนึ่ง และเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้ต้องการศึกษาพุทธศาสนาฯ


HOMELESS 04 เป็นการรวบรวมบทความ (พร้อมทั้งการแสดงความเห็นจากผู้อ่าน) ทางพุทธศาสนา ที่ไม่ได้ให้ความรู้เรื่องราวทางพุทธศาสนาเท่านั้น แต่มีเป้าหมายเพื่อนำประเด็นทางพุทธศาสนาซึ่งผู้อ่านอาจทราบดีอยู่แล้ว มาเสนอในมุมมองใหม่ ที่มุ่งให้ผู้อ่านได้คิด และเข้าใจพุทธศาสนาในแง่ความเป็นเหตุเป็นผล มิใช่เสนอข้อความให้เชื่อที่พบเห็นในหนังสือทั่วไป
ผู้รวบรวมได้นำบทความของตนเองเป็นหลัก ที่ได้โพสต์ลงเฟสบุค และบางส่วนก็เป็นการไปแสดงความเห็นในที่อื่นๆ (สรุปคือ เอาเฉพาะที่ที่ตนมีส่วนร่วม?) โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ตุลาคม ถึง พฤศจิกายน นับเวลาประมาณ ๑ เดือนพอดีฯ ซึ่งการรวบรวมข้อความเหล่านี้เก็บไว้เป็นเล่มหนังสือ นอกจากจะให้ความรู้แก่ผู้อ่านแล้ว ยังสะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยี ที่ทุกคนยอมรับว่ามีทั้งแง่ บวก และ ลบ ซึ่งคนส่วนใหญ่กลับใช้ เฟสบุค เป็นที่คบหา สนทนากับเพื่อนฝูง สร้างความสัมพันธ์ในแง่ต่างๆ และแบ่งปันความรู้เรื่องทางโลก(ที่สนับสนุนกิเลส และเป็นเรื่องเสียเวลา)เป็นส่วนใหญ่ฯ การใช้เฟสบุคในแง่บวก คือการใช้เป็นแหล่งให้ความรู้ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ซักถาม แสดงความเห็นเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นล้วนเป็นประโยชน์ในการศึกษาผ่านเทคโนโลยีอีกทางหนึ่ง
 

...................................................................
ท่านใดมีการจัดงานเลี้ยงฉลอง เลื่อนตำแหน่ง งานแต่ง งานศพฯลฯ การเอาหนังสือ ๒ เล่มนี้ไปจัดพิมพ์จะเป็นประโยชน์กว่าการเลี้ยงสังสรรค์เพื่อความสนุกและปริดชีพชีวิตสัตว์เช่น หมู วัวเป็นต้นได้ หรือสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นและต่างชาติโดยการใช้ SPY Regency Chang Laokhaw etc. มาบั่นทอนสุขภาพและสติปัญญาเพียงด้วยเหตุว่าสืบสัมพันธ์ (พันธุ์) เพื่อนฝูงไว้ฯลฯ การพิมพ์หนังสือยังเป็นการเสริมสร้างปัญญาให้แก่ผู้คนซึ่งกำลังงมงายอยู่(แม้จะเป็นยุคที่สังคมเจริญไปมากแล้วก็ตาม)ได้มีโอกาสรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่คนส่วนใหญ่เคารพนับถืออยู่แล้วฯ
เนื่องจากหนังสือนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ สามารถจัดพิมพ์ได้ตามความปรารถนา ที่สำคัญโปรดอย่านำไปใช้เพื่อการแสวงหาผลกำไร(เหมือนโล้นซ่าทั้งหลายเลย) อาจถึงเวลาที่เราจะต้องเลิกใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเหยื่อ(ปัจจัย)ในการหาเงินหรือดำรงชีพ ของเราเสียที (เช่นบอกว่า เขียนหนังสือถวายเป็นพุทธบูชา อุทิศแด่ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ แต่ลงท้ายเล่มด้วยคำว่า  ๓๐๐ บาท) เมื่อเป็นเช่นนี้ความเมตตากรุณาจะเกิดขึ้นจากไหนได้เล่า?



                  

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ใช้ของขลังมาปลอบใจ...แล้วเมื่อไหร่หนูจะโต?

ใช้ของขลังมาปลอบใจ...แล้วเมื่อไหร่หนูจะโต?
บทความ pdf
ที่มาและวัตถุประสงค์
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจเรื่องอิทธิพลของกำลังใจหรือการใช้ของขลัง/วัตถุมงคลมาเป็นเครื่องปลอบโยนพุทธบริษัทในการเผชิญกับปัญหาชีวิตฯด้วยสังเกตเห็นว่าปัจจุบันการสอนธรรมะหรือหลักธรรมทางศาสนาได้ถูกลดทอนลงจากสิ่งที่มีค่าสูงสุด(การพ้นทุกข์หรือมีปัญญาเห็นสัจธรรม)เป็นแต่เพียงสิ่งปลอบขวัญให้ผู้คนสบายใจขึ้นและเข้าหาวัดหรือธรรมะเพียงเพราะเหตุผลนี้เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งเพื่อชี้ให้เห็นทัศนะที่แท้ของพุทธศาสนาว่ามีจุดยื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ที่สำคัญคือ วิทยากรหลายคน(หมายถึงโล้นซ่าใช่ป่าว?)มักเข้าใจพุทธศาสนาผิดจนนำคำสอนมาใช้อย่างคลาดเคลื่อนและ/หรือสอนอยู่เพียงระดับเดียวโดยไม่ยอมเลื่อนขึ้นสู่ธรรมะที่ลึ้งซึ้ง(เป็นประโยชน์)มากขึ้น ซึ่งก็ให้เหตุผลว่าผู้คนยังไม่พร้อม(โตพอ)ที่จะรับฟังสิ่งที่ดีกว่านี้ได้ฯลฯ ความเข้าใจด้านสาระธรรมในหมู่พุทธบริษัท(รวมทั้งตัวผู้สอนเอง)จึงอยู่ในระดับโลกีย์ที่ดับกระหายเหมือนการดื่มน้ำเกลือ ไม่สามารถก้าวสู่เป้าหมายที่แท้ของพุทธศาสนาได้ เป็นที่ทราบกันดีว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาของการพัฒนาคน กล่าวโดยพื้นฐานคือมนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายตรงที่พัฒนาได้นั่นเอง หากปฏิเสธขอเท็จจริงนี้เสียแล้วย่อมเป็นเสมือนการปิดทางในการสอนธรรมะระดับที่สูงขึ้นไปในตัว พระพุทธเจ้าเองแรกตรัสรู้ใหม่ๆก็คิอเช่นนี้ (คือสัตว์ทั้งหลายมีธุลี(ความโง่)บดบังดวงตาอยู่ จะเข้าใจธรรมะคงยาก จึงอาจเป็นการเหนื่อยเปล่าในการสอนธรรม[1]) แต่สุดท้ายพระองค์ก็ตัดสินใจสอนด้วยเห็นว่า คนที่โง่น้อย (มีธุลีในดวงตาน้อย)ยังมีอยู่ฯ นี้จึงเป็นตัวอย่างเบื้องต้นก่อนเข้าสู่เนื้อหาเพื่อแสดงถึงการประกาศธรรมของพุทธศาสนา(ที่เป็นทั้งโลกิยะและโลกุตตระ)โดยไม่ใช้เหตุผลมาอ้างว่าผู้ฟังยังไม่โตฯลฯ
นิยามศัพท์ (Definitions)
ใคร่จะทำความเข้าใจเรื่องความหมายของศัพท์ที่นำมาตั้งชื่อหัวข้อก่อนเพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อนกันดังนี้
๑.  ของขลัง หมายถึง สิ่งที่คนมีความเชื่อว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์หรือมีอำนาจบางอย่างในการดลบันดาลให้เจ้าของประสบความสำเร็จ งอกงาม หรือปลอดภัยได้จริง เช่นพระเครื่อง ด้ายข้อมือ แป้งเจิม(แป้งเจิมรถกับแป้งเจิมวัวอย่ามาวางใกล้กันนะครับหลวงพ่อ เดี๋ยวเหมือนคราวที่แล้ว เอารถมาให้เจิม ออกจากวัดไปวันนั้นทั้งวันชนกัน ๑๖ ครั้ง หลวงพ่อใช้แป้งเจิมวัวฯ) ตะกรุด ผ้ายันต์ ไอ้อั่ง นึกไม่ออกแล้ว ผู้อ่านขึ้นไปบนหิ้งพระแล้วดูเอาเองเถิดฯลฯ
๒.   ปลอบใจ หมายถึง ก.การทำให้เบาใจคือรู้สึกดีขึ้น พูดง่ายๆคือมีไม่ว้าเหว่หรือมีเพื่อนนั่นเอง เช่นลูกไม่ต้องเสียใจที่สอบเข้ามหาลัยไม่ได้ เพราะแม่เองเมื่อก่อนก็สอบไม่ได้เหมือนกัน ยังมีอีกตั้ง ๓ มหาลัยที่เปิดรับเราอยู่(มหาลัยไหน?), ลูกอย่าเสียใจไปเลยที่เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ทุกบ้านเขาก็วางมวยกันหมดแหละเพียงแต่ลูกไม่รู้เท่านั้นเอง, อย่ากังวลไปเลยไอ้จ๋อย เองไม่ใช่เหยื่อรายแรกที่ถูกโล้นซ่าหลอกขายพระเครื่อง ใครๆเขาก็โดนทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นมันคงไม่รวยจนถึงขั้นเป็นเจ้าของรีสอทร์หรอก...(คำเตือน ตัวอย่างที่ยกนี้บางอย่างอาจมิใช่ความจริง...เพราะกลัวโดนฟ้อง?...เพียงแต่ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของนิยามศัพท์เท่านั้นเอง)ฯ ข.เป็นการสร้างความมั่นใจ(ลดความหวาดกลัว)ในการจะทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เช่น ฉันเชื่อว่าแกต้องชนะการต่อยมวยในครั้งนี้แน่ เพราะได้ข่าวว่าคู่แข่งแกเกิดอาการท้องร่วงอย่างหนักฯ, นายไม่ต้องกลัวหลุดจากเก้าอี้นายกหรอกครับ เดี๋ยวทีมงานของเราก็ตัดต่อภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมให้เห็นว่าฝ่ายโน้นต่างหากที่พกระเบิดเข้ามาร่วมชุมนุม ตีหน้าซื่อตอบสื่อมวลชนไปเลยครับฯ หากจะยกเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาโดยตรงก็คือ โยมคนสวยสักน้ำมันไปแล้วนะ ต่อไปดูแลสามีให้ดี อย่าไปดุด่า เดี๋ยวก็มัดใจมันอยู่ฯลฯ
๓.  หนู...(ที่ยังไม่โต) ในที่นี้ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับสัตว์ประเภท ๔ เท้าหรือที่ภาษาอังกฤษ ว่า Rodent ซึ่งเป็นศัตรูกับแมวเหมียว อีกทั้งไม่เกี่ยวกับการใช้เรียกคำนำหน้าเด็กที่แบ่งตามเกณฑ์อายุคือ ๐-๑๒ ปี แต่หมายเอาใครก็ตาม(อาจอายุ ๗๐ ก็ได้) ที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ใช้ชีวิตโดยอาศัยความเชื่อเป็นหลัก เขาไหว้ปลวกก็ไหว้ด้วย ขูดต้นไม้ทาแป้งแล้วนั่งลูบก็เอาด้วย, เป็นโรคเก๊า แต่หมดดูบอกให้ตั้งศาลพระภูมิก็ทำตามฯ, วัดประชาสัมพันธ์สร้างห้องน้ำห้องละ ๙๐๐๐ บาทแต่ด้วยเป็นโปรโมชั่นสิบท่านแรกลดทันทีเหลือ ๕๐๐๐ บาท ก็ไปเป็นเจ้าภาพสร้างด้วย (โฆษณานี้มีอยู่จริง ที่ยกตัวอย่างอันนี้คือสงสัยว่า การสร้างบุญหรือห้องน้ำซึ่งเฉลี่ยมาแล้วว่าตกห้องละ ๙๐๐๐ บาทจะลดได้ด้วยหรือ อีกอย่างถ้าอยู่ในช่วงโปรโมชั่นลดกระหน่ำเช่นนี้ บุญที่ได้จะลดไปด้วยหรือไม่? ลูกพี่โล้นช่วยตอบหน่อยค๊าบ?)
การปลอบใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิต เพราะทุกคนเชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนโยน อีกทั้งยังอ่อนแอ คือต้องการที่พึ่งทางจิตใจอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นหลายศาสนาในโลกนี้คงไม่เกิดขึ้น ตัวอย่างง่ายๆคือศาสนาในยุคปฐมกาล (Primitive Religion) ซึ่งสร้างศาสนาขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เห็นว่าฝนตก ฟ้าฝ่า อาจจะมาทำร้ายตนได้ จึงต้องพากันหาสรณะดังพระบาลีที่ว่า “มนุษย์นั้นเมื่อเกิดมีทุกข์บีบคั้น ภัยคุกคาม ก็ยึดเอา ภูเขา ป่าไม้ อาราม ฯลฯ เป็นที่พึ่ง แต่สุดท้ายก็สรุปว่าการพึ่งวัตถุเหล่านี้(เราอาจกล่าวเสริมไปได้ว่า รวมเอา พระเครื่อง ปลัดขิก มีดหมอ สายสิญจ์ น้ำมนต์ เป็นต้นเข้าด้วย)ไม่สามารถทำให้พ้นจากภัยพิบัติหรือทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดถาวรได้จริง[2]  แต่อย่างไรก็ตาม ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องการปลอบใจนี้ก็ไม่ควรจะมองงว่าเลวร้ายเสียทีเดียว นั่นคือเมื่อยอมรับว่าเป็นที่กำจัดภัยพิบัติอย่างถาวรไม่ได้ แต่บางอย่างสามารถทำให้คนมีชีวิตที่ดีในช่วงเวลาระยะหนึ่งได้ฯ เช่นมีกำลังใจในการสู้ชีวิตที่ลำบากหรือยอมรับชะตากรรมที่เลวร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย(ไม่ได้หมายความว่า ด้านแบบตราช้างนะ แต่เป็นคนมีกำลังใจเต็มเปี่ยม)ซึ่งในใจลึกๆเขาอาจเชื่อว่าที่ชีวิตเป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าต้องการทดลองดังเรื่องของ โยบเป็นต้น
ความหวัง ๒ ประเภท
อาจกล่าวได้ว่าแรงบันดาลใจทั้งหลายที่เป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์นั้นบางอย่างอาจเป็นความหวัง ศาสนาคริสต์บอกว่า “มนุษย์จะอยู่ได้ด้วยความหวัง[3]” ซึ่งก็เป็นความจริง นั่นคือหากไม่ทราบว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไรหรือจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อใครก็ไม่รู้จะทำไปทำไม เช่นนายดำตื่นตั้งแต่ตี ๓ กรีดยางเพื่อเก็บเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือ(หนังตลุงแซวว่า เด็กที่จากบ้านไปเรียน เวลาว่างก็ไปเที่ยวงามวงศ์วาน แต่พ่อแม่อยู่ที่บ้านกรีดยาง/ทำงานกันจนวานเป็นวงหมดแล้ว?) จะเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ก็มีความหวังเป็นแรงใจ คิดว่าวันหนึ่งลูกจะประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตความเป็นอยู่จะได้ไม่ลำบากเหมือนตนฯ อันนี้เป็นแรงใจในด้านดี แต่ในด้านลบก็มีเหมือนกัน นั่นคือเอาอดีตที่เคยประสบมาซึ่งเก็บกดไว้นานมาระบายกับคนรุ่นหลัง อยากให้ผู้อื่นลำบากหรือรับรสชาติที่เจ็บแสบเหมือนตน เช่นเจ้าอาวาสบางรูปบอกว่า เมื่อก่อนตนต้องเดินไปเรียนระยะทางเป็น ๑๐ กิโลเมตร ครั้งตนมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว มีรถประจำตัวแทนที่จะไปส่งเณรเรียนหนังสือก็บอกให้เดินไปเอง โดยอ้างว่าระยะทางแค่ ๕ กิโลฯ สมัยก่อนตัวเองต้องลำบากกว่านี้มากฯ จะเห็นว่าฟังดูมีเหตุผลนะครับ และสงสารเณรวัดนั้นจริงๆที่ต้องมาตกเป็นทายาทอสูร เราต้องยอมรับและเห็นใจท่านที่ลำบากในอดีต แต่นั่นเป็นยุคที่บ้านเมืองไม่เจริญ อย่างน้อยก็ไม่มีความพร้อมเรื่องรถรับส่งเป็นต้น จึงไม่มีทางเลือก แต่ในยุคที่คนมีทางเลือก การต้องมาทนทุกข์ทรมานโดยไม่ยอมเลือกนั้นจัดเป็นคนสุดโต่งประเภททรมานตนเอง ส่วนผู้ที่สามารถช่วยได้และเป็นความรับผิดชอบของตนเองโดยตรงแต่กลับเพิกเฉยเสีย อันนี้ศาสนาถือเป็นการขาดความเมตตากรุณาและทางราชการถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับฯ สรุปก็คือความหวังประเภทหลังนี้เป็นความหวังแบบซาดิสนั่นเอง อยากให้ผู้อื่นได้ความรู้และประสบการณ์นั่นแหละ แต่ออกนอกทางสายกลางคือความพอดีไป นั่นคือเราสามารถทำให้ลูก/เณรมีความรู้ต่างๆได้โดยการจัดเตรียม/ดูแลความสะดวกให้เขาอย่างเพียงพอ โดยให้เขามีเวลาว่างมากขึ้นในการศึกษาหรือทำงานที่มีประโยชน์ ดีกว่าการปล่อยให้เดินอยู่ข้างถนนเป็นระยะทาง ๑๐ กิโลฯ
จะอย่างไรก็ตามทั้งพ่อแม่ที่ทำงานส่งลูกเรียนด้วยความหวังอยากให้ลูกได้ดีกับท่านเจ้าอาวาสใจร้ายที่ยกมานี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนความหวังประเภทแรกเท่านั้น นั่นคือ ความหวังแบบปุถุชน (หวังเพื่อต้องการบางอย่างกลับคืน) บางครั้งดูเหมือนเราต้องการทำเพื่อเขาจริง แต่บ้างก็ทำเพื่ออยากให้เขากลับมาดูแลตนตอนแก่ (ชาดกเรื่องนกแขกเต้ายอดกตัญญูใช้ศัพท์ว่า “ให้เขากู้หนี้”) นั่นคือเป็นการผูกพันธะไปในตัว ต่อมาเขาระลึกถึงบุญคุณนี้แล้วจะไม่ทอดทิ้งเรา(ที่เป็นคนแก่ทั้งหลาย) หรือบ้างก็ไม่ทอดทิ้ง แต่แกล้งพาไปเที่ยวและลืมไว้ที่บ้านพักคนชราฯ
ขอแทรกตรงนี้นิดหนึ่ง ผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนมีการศึกษาน้อย แต่เป็นคนช่างคิด ถือว่าค่อนข้างฉลาดทีเดียว ครั้งหนึ่งท่านเสนอให้ฟังว่า “บ้านพักเด็กและบ้านพักคนชราน่าจะเอามาไว้ที่เดียวกันฯ เพราะต่างคนต่างเหงา (จะบอกว่าตกอยู่ในสภาวะเดียวกันคือถูกทิ้งว่างั้นเหอะ?) ทั้งสองฝ่ายจะรู้สึกดีขึ้น เด็กก็รู้สึกว่าอยู่กับตา ยาย (แม้ไม่มีพ่อแม่ก็ยังดีกว่าไม่มีใครเลย) ตายายก็รู้สึกสบายใจที่มีหลายรักอยู่ใกล้ๆ อีกอย่างเขาอาจจะดูแลกันเองจนเจ้าหน้าที่เราลดภาระลงได้มาก” แต่ทุกอย่างก็เป็นอันจบลงเพียงเพราะเพื่อนคนหนึ่งแซวขึ้นว่า “แกอย่าคิดตื้นๆนะโว๊ย.. เดี๋ยวนี้คนเราจิตใจโหดร้าย ผู้ใหญ่บางคนที่ถูกเขาเอาไปเที่ยวที่นั่นเพราะลูกหลายรับนิสัยไม่ได้นั่นเอง เกิดเอาไปอยู่กับเด็กแล้วบังคับให้หลานอมนกเขาเหมือนในหน้าหนังสือพิมพ์จะทำไงว่ะ? เดี๋ยวเด็กก็เป็นโรคจิต ต้องส่งศรีธัญญาต่ออีกฯลฯ อย่าให้เกิดปัญหามากกว่านี้อีกเลย” ปรากฎว่าการประชุมก็เลิกรา ความจริงเพื่อนคนแรกยังอธิบายความคิดตนเองต่อโดยการให้แยกเพศฯ แต่ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาต่อแล้วกัน เผื่อความคิดของเพื่อนคนนี้จะมีประโยชน์ฯ ที่นำเรื่องนี้มาเล่าก็มีจุดประสงค์ที่ว่า บางคนสามารถทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ขณะเดียวกันใจลึกๆกลับหวังประโยชน์บางอย่างที่ตนจะพึงได้ต่อไป(เขาเปรียบเทียบบุคคลเช่นนี้เหมือนสุนัขที่นั่งเฝ้าดูกระต่ายวิ่งเล่นโดยไม่วิ่งไล่จับ แต่ตนก็ไม่ได้นั่งอยู่เปล่าๆ หาอะไรบางอย่างมานั่งลับเขี้ยวตนรอให้โอกาสประจวบเหมาะฯ) บางคนที่กิเลสละเอียดไปกว่านี้คือยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกจริงๆ และดูเหมือนไม่ต้องการอะไรตอบแทน แต่พอวิเคราะห์ดูให้ลึกพบว่า เขาทำเพราะความยึดมั่นในตัวตนและตัวลูก ฟังดูอาจเข้าใจยาก อธิบายว่าที่ทำนั้นเพราะรักตัวเองนั่นเอง เขามีความสุขเพราะเขามีลูก นั่นคือการที่ได้เห็นลูกได้ดีประสบความสำเร็จเขาก็สุขด้วย พอเห็นลูกทุกข์เขาก็ทุกข์ด้วย ลูกจึงเป็นเสมือนตัวเขา คนประเภทนี้หลายคนใจแคบมากที่ไม่ยอมช่วยเหลือลูกผู้อื่นเลย สนใจแต่ลูกตนเท่านั้น ความรักประเภทนี้จึงถือเป็นความรักที่แคบอยู่ ไม่ได้ทำด้วยใจเปิดกว้างจริงๆ การช่วยเหลือประเภทนี้เองที่เรียกว่าความหวังแบบปุถุชนหรือหวังบางอย่างกลับคืนตนเอง (แม้บางอย่างในที่นี้ไม่ได้เป็นรูปธรรมก็ตาม) แต่เพราะยังยึดมั่นก็ไม่พ้นทุกข์
เพื่อเห็นตัวอย่างความยึดติดประเภทนี้ให้ชัด ให้สังเกตหนุ่มสาวเป็นหลัก หลายคนชอบโกหกว่าตัวเองรักคนนั้นคนนี้แบบน้องสาว(คำพูดของคนที่เป็นชายแท้) พี่ชาย(...หญิงแท้) น้องชาย(...เก) พี่สาว(...เลสเบียนส์)ฯลฯ ที่พูดอย่างนี้เพราะ ๑.จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติด ๒. อยากเลิกเต็มทีแต่จะทิ้งแบบไม่ใยดีก็ดูกะไรอยู่(พี่ชายที่แสนดี) แต่ใจลึกๆนั้นทำยาก เช่นต่อให้เรียกว่าน้องสาว พี่ชาย หากเปิดโอกาสให้อยู่สองต่อสอง เรื่องที่ไม่คาดคิด(คือคิดอยู่ลึกๆแต่ไม่เคยพูดนั่นแหละ)สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาฯ นี่คือการมีใจกว้างแบบปุถุชน สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้แบบฝังความหวังบางอย่างไว้ แต่อย่าพึงเข้าใจว่าทุกคนต้องเป็นเช่นนี้นะครับ คนดีในสังคมหลายคนแม้จะไม่ใช่อริยบุคคลก็ทำประโยชน์เช่นนี้ได้ หมายถึงข้ามเรื่องเพศมาได้ แต่ก็มาติดบางอย่างอีกเช่น ยศตำแหน่ง คำสรรญเสริญเป็นต้น
ความหวังประเภทที่ ๒ เป็นความหวังที่ไม่ยึดติดในผู้ใด แม้แต่ตนเอง ไม่หวังลาภ ยศ สรรเสริญเป็นต้น ผู้ทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นอริยบุคคลเท่านั้น บางทีอาจเรียกว่าทำความดีแบบไม่หวังก็ได้ พระไตรปิฎกใช้ศัพท์ว่า “ผู้สิ้นหวัง” (วนฺตาโส)[4] ฟังดูเหมือนเป็นเชิงลบ แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทำด้วยใจว่าง เป็นมหากรุณาที่จริง คือท่านเพียงแต่เห็นความสำคัญหรือตระหนักในหน้าที่เท่านั้นเอง ไม่ได้ทำเพราะผู้นั้นผู้นี้เป็นคนที่เรารักหรือเราเกลียด ความจริงข้อนี้ทางพุทธศาสนาเน้นมาก เราจึงนิยมใช้คำว่า ธาตุ มาประกอบ หลายคนที่เป็นนักเรียนมาก่อนอาจคิดถึงตารางธาตุตอนเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ธาตุในทางพุทธศาสนามีไว้เพื่อให้คนมองทุกอย่างแบบไม่ยึดติด นั่นคือไม่มองว่าสิ่งนั้นเป็น สัตว์(หมายถึงมีชีวิต) บุคคล ตัวตน เรา เขา ฯลฯ การมองเช่นนี้ได้จะทำให้คนคลายความยึดมั่นเสียได้(วิปัสสนาคือการฝึกให้คนเห็นความจริงอย่างนี้เอง...บ้างก็เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ) เมื่อมองได้เช่นนี้เองจึงเรียกว่าว่าง... คือมองคนก็ไม่เห็นคน (ไม่ได้หมายความว่ามองทะลุเสื้อผ้าไปเหมือนโปรแกรม X-Ray ในอินเตอร์เน็ตนะ) แต่มองเห็นเพียงธาตุหรือให้ชัดกว่านั้นคือขันธ์ ๕ นั่งเอง แม้พุทธศาสนามหายานก็เน้นเรื่องนี้พิเศษเหมือนกัน สังเกตได้จากปรัชญาปารมิตาสูตร ที่เริ่มหน้าแรกด้วยการเห็นขันธ์เป็นของว่าง ไม่มีรูป เวทนา สัญญา.....ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจฯ[5] คือสิ่งเหล่านี้อยู่ได้เพียงเพราะอาศัยปัจจัยอื่นและทำงานกันเป็นทีมนั่นเองฯ
พระอรหันต์ต้องการกำลังใจด้วยหรือ?
ผู้เขียนใคร่จะยกตัวอย่างประวัติพระอรหันต์รูปหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนนำในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก นั่นคือพระมหากัสสปะนั่นเอง[6] ท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีได้เคยกล่าวถึงพระมหากัสสปะไว้ในเรื่องแรงบันดาลใจ(ซึ่งมีการจัดทำเป็นเล่มหนังสือ กล่าวถึงประวัติคนดังทั้งหลาย มีท่านมหาตมคานธี เจ็ดลีเป็นต้น) โดยกล่าวว่าเหตุที่ท่านกัสสปะได้จัดทำสังคายนาเพราะได้รับกำลังใจจากพระพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งพระชนม์อยู่ ทรงให้เกียรติยกย่องท่านกัสสปะหลายอย่าง ท่านกัสสปะเองจึงเกิดกำลังใจ เสมือนว่าพระพุทธเจ้าฝากให้ท่านดูแลศาสนา เมื่อเกิดมีพระที่กล่าวทำนองไม่เคารพพระธรรมวินัยขึ้น ท่านเลยรวบรวมพระจัดการทำสังคายนาฯลฯ สรุปคือที่ท่านทำเช่นนี้ได้เพราะได้รับกำลังใจจากพระพุทธเจ้าฯ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการคัดค้านเรื่องนี้ด้วยเห็นว่าเนื้อหาที่ท่านนำมากล่าวก็ค่อนข้างถูกอยู่แล้ว ที่สำคัญอาจเป็นเพราะเรื่อง/สถานการณ์ที่ท่านกำลังพูดถึงเป็นเรื่องกำลังใจโดยเฉพาะ จึงถือโอกาสยกตัวอย่างท่านมหากัสสปะไปใช้เพื่อให้พุทธบริษัทได้มีความรู้พุทธศาสนามากขึ้นฯ
เรื่องที่ต้องการกล่าวในที่นี้มีนิดเดียว นั่นคือหากมองว่าพระอรหันต์จะทำอะไรก็ตามต้องรอให้ผู้อื่นให้กำลังใจหรือต้องได้รับแรงบันดาลใจจากคนรอบข้างหรือคนที่ตนเคารพนับถือก่อน มิเช่นนั้นก็จะไม่ทำ ก็ไม่น่าจะถูกฯ ผู้เขียนเชื่อว่าพระอริยบุคคลที่เต็มพร้อมด้วยปัญญาเช่นนี้ไม่น่าจะต้องการกำลังใจ(มิใช่ว่าตัวเองเข้าใจภาวะความเป็นอรหันต์นะ เพียงแต่เพราะตนเป็นปุถุชน จึงคิดว่าหากอรหันต์ต้องมาเป็นเหมือนพวกเราที่เป็นปุถุชน จะทำประโยชน์ก็ต้องรอกำลังใจก่อน ไม่น่าจะเป็นวิสัยของพระอรหันต์)  ผู้เขียนกลับเห็นว่าที่ท่านมหากัสสปะทำสังคายนามิใช่เพราะได้รับกำลังใจจากพระพุทธเจ้า แต่เป็นเพราะตนตระหนักถึงหน้าที่การรักษาพระศาสนา ต่อให้พระพุทธเจ้ามิได้กล่าวอะไรไว้(ซึ่งความจริงพระองค์ก็ไม่ได้มอบมรดกการปกครองสงฆ์ให้ใครอยู่แล้ว)ท่านมหากัสสปะก็จะทำเช่นนั้นอยู่ดี โดยอาศัยความอาวุโสคือมีพรรษามากกอปรกับการเป็นผู้มีปัญญาเข้าใจพุทธพจน์อย่างลึกซึ้งฯ บางครั้งเรามองอริยบุคคลด้วยความคิดของเราเอง อาจเทียบเรื่องนี้คือ เด็กคนหนึ่งออกจากบ้านไปเมืองกรุงเพื่อศึกษาเล่าเรียน เธอตั้งใจเรียนมากด้วยว่าได้รับกำลังใจจากทางบ้านและเธอก็เป็นความหวังของทุกคน ครั้นเธอประสบความสำเร็จก็อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นเพราะแรงบันดาลใจ เรื่องนี้เป็นของปุถุชน ไม่สามารถเทียบได้กับคนที่ไม่ต้องการกำลังใจ(เพราะมีพร้อมอยู่แล้วอย่างอรหันต์ได้)นั่นคือเขาเล็งเห็นประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้อื่น เช่นหากเป็นพระอรหันต์ออกไปสอนธรรม ท่านไม่ต้องการกำลังใจ นั้นคือเราจะไปให้กำลังใจท่านหรือไม่ท่านก็ทำตามหน้าที่ด้วยเจตนาที่จะให้ผู้สนใจได้บรรลุธรรม หรือหากไม่มีใครเข้าใจธรรมะเลยท่านก็ไม่ได้ร้องไห้ ขาดกำลังใจ โกรธและประชดด้วยการเลิกสอน  หากออกจากเมืองนั้นไป เจอคนเมืองอื่นที่พอจะมีปัญญา ท่านก็สอนอีก นี้จึงเป็นการตระหนักถึงหน้าที่โดยอาศัยเมตตากรุณาและสติปัญญาที่พรั่งพร้อมตัดสินใจได้ด้วยตนเอง มิใช่อาศัยกำลังใจหรือแรงบันดาลใจจากคนอื่นฯ
ขอสรุปเรื่องความหวัง ๒ ประเภทที่เขียนไว้เป็นหัวข้อก่อนว่า ความหวังประเภทแรกเป็นความหวังที่ผู้นั้นทำประโยชน์หรือช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อหวังบางอย่างมาตอบสนองตนเอง ส่วนประเภทหลัง(ของพระอรหันต์)เป็นความหวังที่ทำเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว เพราะตนเองมีความสุขบริบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องหาอะไรมาใส่เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆเหมือนคนทั่วไปฯ
พระเครื่องเป็นของปลอบโยนได้หรือ?
คราวนี้จะเข้าประเด็นหลัก(หมายถึงการโจมตีโล้นซ่าโดยเฉพาะหรือ? เปล่าแต่เพราะเป็นเรื่อง)ที่พระทั้งหลายชอบนำมาอ้าง นั่นคือพระแม้แต่ท่านที่มีการศึกษาจบปริญญาโทก็เปรียบเทียบเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า
ผู้คนทั่วไปมีทั้งโง่และฉลาด เราจึงไม่สามารถสอนธรรมะให้แก่ทุกคนได้ เปรียบเหมือนการกินข้าวของเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เราอาจใช้ช้อนขนาดปกติได้ แต่เด็กต้องใช้ช้อนเล็กพิเศษเพื่อให้เหมาะกับขนาดปากของเขา ดังนั้นผู้มีความรู้(ผู้ใหญ่)เราจึงสามารถสอนธรรมะได้เลย ส่วนคนที่ยังไม่มีความรู้(เด็ก)ก็เอาของขลังมัดเขาไว้ก่อน เมื่อเขาแข็งแรงกลายเป็นผู้ใหญ่(เป็นคนมีความรู้แล้ว)ค่อยสอนธรรมะต่อไปฯ
คนที่ไม่คิดอะไรมากอาจเห็นด้วยกับความคิดนี้ไปเลย เพราะถือว่ามีเหตุมีผลและเป็นปรัชญาของปัญญาชน ผู้เขียนอยากให้คิดนิดหนึ่งนั่นคือ เราเคยเห็นท่านเหล่านั้นสอนธรรมะคนบ้างหรือไม่? ธรรมะในที่นี้หมายถึงหลักการของพระศาสนานะครับ ไม่ใช่ออกเทศน์แหล่ หาเงิน หรือเรี่ยไรทำบุญ เพื่อสร้างวัตถุฯลฯ นั่นคือเท่าที่สังเกตมา คำพูดนี้เป็นเพียงข้ออ้างของการไม่ต้องสอนธรรมะนั่นเอง ถามว่าไฉนจึงไม่สอน? ตอบแบบอันธพาล(อย่างจริงใจ)เลยว่าได้เงินช้าเกินไป เปรียบเทียบง่ายๆนะครับ ระหว่างการสอนว่า “ความชั่วจะหมดไปได้ก็ต้องรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฝึกฝนแผ่เมตตา ไม่ทำร้ายผู้อื่น แสวงหาความรู้ที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตฯ” กับการบอกว่า “โยมมานอนในโลงนี้ เดี๋ยวอาตมาจะบังสุกุลตายให้ บาปกรรมหายหมดเลย” อันไหนจะทำง่ายกว่าและได้รับเงินเร็วกว่า? โดยไม่ต้องถามเรื่องความถูกต้องหรือความเป็นไปได้สำหรับคนไทย เพราะคนไทยเป็นชาวพุทธที่ฉลาดอยู่แล้ว จึงไม่ชอบคิดอะไรให้เปลืองสมอง (หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณาได้เขียนเป็นทำนองเสียดสีไว้ว่า สมองของคนในโลกนี้หากมีคนต้องการผ่าตัดเปลี่ยนสมองแล้วเอามาประมูลราคากัน สมองคนยิวจะถูกที่สุด และสมองคนไทยจะแพงที่สุด...เหตุผลคือคนยิวใช้งานสมองจนหนัก คล้ายกำลังจะพัง แต่สมองคนไทยยังใหม่เอี่ยม ไม่เคยใช้งานอะไรเลย?)
ความจริงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหากจะกล่าวว่าคนเราสติปัญญาต่างกัน เพราะพระพุทธเจ้าเองก็แบ่งคนออกเป็น ๔ จำพวก[7] พวกแรกฟังแต่หลักการเท่านั้นก็เข้าใจกระจ่าง พวกที่สองต้องฟังคำอธิบายด้วย พวกที่สามฟังคำอธิบายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ต้องฟังหลายๆรอบหรืออาศัยคนอื่นมาอธิบายเพิ่ม ต่อมาก็เกิดเข้าใจได้ ส่วนคนประเภทสุดท้ายคือทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ บางทีสิ่งที่พระพุทธเจ้านำมาเป็นตัววัดไม่ได้หมายถึงความรู้อย่างเดียว เพราะพวกนักปราชญ์นอกรีตสมัยพุทธกาลมีความรู้มากก็มี แต่ก็ไม่ยอมละมานะตนในการทำความเข้าใจพุทธศาสนา คนเหล่านี้ก็ยังถูกจัดเป็นพวกสุดท้ายคือไม่ได้อะไรจากพุทธศาสนา ตกลงพระองค์อาจไม่ได้วัดกันที่ ความรู้ หรือ IQ ดังที่เราเข้าใจ แต่รวมเอาอินทรีย์ทุกอย่าง ตั้งแต่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา  อย่างไรก็ตามอีกที่หนึ่งพระองค์ก็แบ่งคนออกเป็น ๓ เท่านั้น คือตัดจำพวกท้ายสุดออก นั่นคือ
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริกที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้,บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ, บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว[8].
          แน่นอนว่าการตัดบัวชนิดสุดท้ายที่เรียกว่า “เต่าถุย” ทิ้งไปไม่ได้กล่าวถึง ไม่ได้หมายความว่าพระองค์บอกว่าทุกคนฉลาดหรือจะบรรลุธรรมในชาตินี้ได้หมด แต่หมายความว่า แม้บางคนจะไม่บรรลุธรรมได้ก็สามารถพัฒนาตนเองให้สูงขึ้นไปได้ จึงไม่มีบัวชนิดตายในโคลนตมปรากฏในภาษิตนี้  ถามว่าถ้าเช่นนั้นการเปรียบเทียบของพระองค์ที่แบ่งเป็น ๔ เหล่ากับ ๓ เหล่าก็ขัดแย้งกันสิ? ตอบว่า ไม่ใช่ บัวสี่เหล่าหมายเอาการบรรลุธรรม(บางคนก็ไม่มีสิทธิในชาตินี้เพราะอินทรีย์อ่อน) ส่วนบัวสามเหล่าหมายถึงการพัฒนาชีวิตในระดับต่างๆที่ทุกคนมีสิทธิฯ
          คราวนี้ก็กลับมาที่พระเครื่องของเรา นั่นคือหลายคนชอบใช้ของขลังแจกจ่ายชาวบ้านแล้วอ้างว่าเดี๋ยวต่อไปก็จะสอนธรรม ผู้เขียนก็คงต้องขอตั้งคำถามเดิมว่า มีใครบ้างที่มาเดือนก่อนรับของขลังไป เดือนต่อมาเกิดสติปัญญาต้องการสาระธรรม? ความจริงอยากให้ผู้อ่านไปดูวีดีโอเรื่อง “วันออกพรรษา” ที่ผู้เขียนได้จัดทำไว้ เป็นการบรรยายให้เห็นความต่างระหว่างของขลังกับธรรมะอย่างละเอียด นั่นคือเราไม่สามารถเอาของขลังมาเป็นเครื่องปูพื้นให้แก่คนทั่วไปได้ด้วยหวังว่าเขาจะโตขึ้นแล้วหันมาสนใจธรรมะ เพราะสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน กล่าวคือพระเครื่องหรือของขลังเป็นตัวปิดปัญญาทำให้คนหลง ส่วนธรรมะเป็นตัวเปิดดวงตารับทราบความจริง ทำให้คนมีปัญญาฯ  บางคนอาจแย้งว่าหากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ก็สามารถทำให้สังคมดีขึ้นได้เช่นให้พระเครื่องแล้วมีข้อเรียกร้องทางศีลธรรม เช่น รับพระไปแล้วต้องมีศีล ๕ ช่วยเหลือผู้อื่นฯลฯ อันนี้ก็ใช่แต่ต้องยอมรับว่าอย่างไรเสียก็เป็นการหลอกเขาอยู่ดี นั่นคือเขาเป็นคนดีเพราะความเชื่อบางอย่าง ไม่ได้มาจากเจตนาที่บริสุทธิ์ ผู้เขียนอยากเสนอว่าหากคนที่เราให้พระเครื่องไปแล้วเขาเชื่อฟังเราดีเช่นนั้นคือมีศีล ๕ เป็นต้นจริง การที่เราจะสอนธรรมะเขาตรงๆไปเลยเขาก็น่าจะเชื่อและปฏิบัติตามได้ไม่ยากฯ แต่ที่ปรากฎในสังคมคือคนที่ติดของขลังกลับติดนักเข้าทุกที ทุ่มเงินเป็นแสนเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา บ้างที่เลิกได้เพราะเห็นว่าไร้สาระ ไม่ขลังจริง แต่ก็เลิกศรัทธาพระศาสนาไปแล้ว เพราะเข้าใจว่าตนเองถูกพระหลอกมาตลอดชีวิตฯลฯ
ธรรมะต่างหากที่ใช้ปลอบโยน
          พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้รูปตัวเองมาแจกเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือดึงคนที่ยังไม่มีปัญญา สิ่งที่พระองค์ใช้ก็คือธรรมะนั่นเอง นั่นคือคนที่อินทรีย์อ่อนอยู่(ยังไม่พร้อมจะฟังสาระธรรมะที่ลึก)พระองค์ก็ตรัสสอนด้วยธรรมง่ายๆ เช่น ทาน ศีล สวรรค์ เมื่อเริ่มเข้าที่แล้วก็ยัดต่อด้วย โทษของกาม และผลจากการออกจากกาม ทั้งหมดนี้เรียกว่าอนุบุพพีกถานั่นเอง[9]
ผู้เขียนใคร่จะขออธิบายธรรมะเหล่านั้นโดยย่อดังนี้
๑.ทาน  ความจริงทานมีความหมายที่ลึกซึ่งมาก ท่านพุทธทาสแสดงไว้ครั้งหนึ่งว่า ทานสามารถทำให้คนถึงนิพพานได้ และทานนั้นก็หมายเอาการสลัดกิเลส(ปฏินิสสัคคะ)หรือปล่อยวางนั่นเอง แน่นอนว่าในที่นี้พระพุทธเจ้าอาจตรัสเพียงนัยยะง่ายๆ ที่หมายถึงการเสียสละสิ่งของทั่วไปธรรมดา (เพราะท่านยสะเป็นต้นที่ฟังอนุบุพพีกถานี้ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ คือไม่ได้มีความรู้เรื่องศาสนาลึกซึ้ง)การเสียสละนั้นมุ่งเพื่อกำจัดความโลภของตน นั่นคือคนที่ไม่ยอมให้อะไรใคร คิดแต่จะเอาจากผู้อื่นอย่างเดียวย่อมอยู่ไม่เป็นสุข ส่วนคนที่รู้จักแบ่งปัน ผู้รับอาจเป็นคนรอบข้าง เพื่อนบ้าน หรือนักบวชก็ได้ ผลที่จะได้จากการให้ทานทางโลกิยะนั้นคือทำให้เป็นคนมีทรัพย์ เป็นที่รักของผู้อื่น ด้วยตนเป็นคนชอบเสียสละไม่ขี้เหนียว เมื่อยามตกยากก็มีคนช่วยค้ำชูฯลฯ ในทางสังคมคือเพื่อนมนุษย์จะไม่ลำบากหากทุกคนรู้จักให้ทานฯ ส่วนแง่โลกุตตระคือชำระความตระหนี่ หวงแหนไปได้เรื่อยๆจนสุดท้ายสามารถสละได้ทุกอย่าง จนไม่มีความยึดมั่นฯ
๒. ศีล หมายถึงการดูแลตรวจสอบพฤติกรรมตนเองทางร่างกายและวาจา ไม่ว่ากล่าวทำร้ายใคร โดยทั่วไปอาจรักษาศีล ๕ (เป็นที่ทราบกันดีจึงไม่ขอลงรายละเอียด แต่ข้อสุดท้ายน่าจะกล่าวถึงคือ) ข้อที่ ๕ เป็นการเว้นจากการดื่มเครื่องดอง ของเมา ที่ทำให้ขาดสติ โดยศัพท์สุรา หมายถึง ความกล้าหาญ (เช่น ท้าวสุรนารี) นั่นคือ เมื่อดื่มไปแล้วสามารถทำให้คนขาดสติและทำในสิ่งที่ตนไม่กล้าทำมาก่อนได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทำนองทางลบ หลายคนมองไม่เห็นโทษข้อนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นทั้งหลาย อาจกล่าวอย่างที่เราเคยได้ยินกันมาแล้วว่า จะนำไปสู่หายนะต่างๆได้ เช่นทะเลาะกัน หรือมีความสัมพันธ์ทางเพศจนเกิดโรคหรือตั้งครรภ์แบบไม่พึงประสงค์ วัยรุ่นทั้งหลายก็อาจจะแก้ตัวได้ว่า ตนเองดื่มอยู่ที่บ้านไม่ได้ทะเลาะกับใคร หรือหญิงสาวก็จะบอกว่าแม้มีเพศสัมพันธ์ตนเองก็มีวิธีป้องกันโรคหรือคุมกำเนิด(กระทั้งทำแท้ง)เป็นต้น เหตุผลที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายในปัจจุบันใช้จึงไม่ได้ผล หลายคนเลยตัดสินใจไปร่วมวงกับลูกเลยฯ
โทษของสุรา(ของมึนเมา)
          ความจริงสุรา(ของมึนเมาและยาเสพติด)มิได้มีโทษแค่นั้น ที่เห็นชัดคือเกิดโรคแก่ร่างกายเป็นต้น ผู้เขียนไม่อยากนำสิ่งเหล่านี้มาพรรณาอีก เพราะคิดว่าหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วแต่ก็ยังเสพกันอยู่เป็นอาจิณ จึงเป็นเหมือนเหตุผลด้านยาไป สิ่งที่อยากให้คิดคือสังเกตดูว่าสุราเป็นของเสพสุขสำหรับคนไร้ปัญญา แลคนที่ไม่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าคนที่ทำประโยชน์เพื่อสังคมแล้วติดสุราก็มีไม่ใช่หรือ? ตอบว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อสังคมโดยตรง เป็นแต่เพียงสิ่งพลอยได้เท่านั้น เป้าหมายหลักคือเพื่อให้ตนเองได้มีเงิน เกียรติ ชื่อเสียง เพื่อนฝูงเป็นต้น หลายคนก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นั่นก็เหมือนกันอีก คือไม่ได้มุ่งทำประโยชน์ให้ส่วนรวม หวังเพื่อความร่ำรวยของตนเท่านั้น แต่คนที่มีปัญญาและสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นให้สังเกตว่าเขาจะไม่มีเวลาไปสังสรรค์เรื่องเหล่านี้ อีกทั้งเพื่อนผองก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน เช่นนักวิชาการ นักปรัชญาทั้งหลาย หนุ่มสาวที่มีความรู้ได้รับการศึกษามาอย่างดีก็จะไม่สนใจการเสพสุราเป็นต้น หรือหากมีคนแย้งว่านักศึกษานั่นแหละตัวดี ก็ต้องอธิบายว่าเพราะเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจริง เรียนเพื่อให้ได้ใบปริญญามาหาเงินและความสุขเท่านั้นเอง ส่วนคนที่เป็นนักศึกษาที่แท้เขาจะมีพฤติกรรมต่างจากคนไร้ความรู้และการศึกษาทั้งหลาย ไม่ทำร้ายร่างกายและสติปัญญาตนด้วยของเมาหรือเพียงเพราะต้องการเสพสุขอย่างตกเป็นทาสกามารมณ์โดยไม่สนใจสิ่งดีงาม ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือสังคมก้าวหน้าไปไกล(ในเรื่องเลวร้าย)จนเด็กไม่มีภูมิคุ้มกัน(นั่นเพราะผู้นำทางศาสนาและครูทั้งหลายไม่ยอมให้ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นตัวอย่างแก่เด็กจริงๆ) กลายเป็นว่าสังคมแม้มีนักปราชญ์(ที่คนส่วนใหญ่ยกย่อง)แต่ก็มีเพียงความรู้ หาได้มีความประพฤติที่ดีงามด้วยไม่ (อาจารย์สถิต ไพเราะ กล่าวว่า หากท่านที่มีความรู้มากพูดดี แต่ไม่ยอมทำแม้แต่สิ่งที่ตนพูด ก็อาจบอกได้ว่า ท่านเหล่านั้นปากเป็นปราชญ์แต่ใจเป็นเปรตทั้งสิ้น...) สุราหรือของเมาอย่างอื่นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการเสพสุขเท่านั้นเอง พุทธศาสนาก็สอนเรื่องความสุข แต่ความสุขในแง่ที่ต้องทำร้ายร่างกายนี้และการสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวผู้อื่นเราไม่เอาด้วย ขณะเดียวกันก็สอนให้มุ่งหาความสุขที่เหนือกว่านั้น เช่นความสุขจากการหาความรู้ (นักปรัชญาก็เป็นคนประเภทนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Philosopher ซึ่งหมายถึงคนรักความรู้นั่นเอง บาลีคือ สิกฺขากามา ก็แปลทำนองเดียวกัน) สำหรับนักศึกษาให้ลองถามตัวเองดูว่า คนเป็นคนรักความรู้เช่นนี้หรือไม่ หากใช่ก็ถือว่าเป็นนักศึกษาแล้วจริงๆ หากยังไม่ใช่ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้อยากหาความรู้ต่างๆได้เช่น อยากมีความรู้เรื่องสันติภาพ เสรีภาพ เพื่อจะได้แก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากมีความรู้เรื่องการออกแบบ/ก่อสร้าง จะได้สร้างที่พักที่ดีและถูก(บ้านเอื้ออาทร)ให้กับผู้ยากไร้ อยากมีความรู้เรื่องการแพทย์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นต้น การสร้างแรงบันดาลใจเหล่านี้สำคัญมากสำหรับคนทั่วไป ทำให้เรามีความหวังและมุ่งหาความรู้อย่างเต็มที่เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นฯลฯ นี่เป็นลักษณะของนักศึกษาที่แท้จริง ให้เราสังเกตว่าต่างจากคนที่สักแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโดยสักแต่ให้เรียนจบ แล้วออกไปหาเงิน(จากชาวบ้านที่ตนได้เงินภาษีเขามาสนับสนุมมหาวิทยาลัย) ขณะเรียนก็ไม่ได้มุ่งหาความรู้ แต่มุ่งหาความสุขอย่างอื่นทั้งเรื่องกิน เที่ยว เพศ ฯลฯ เราพอจะนึกภาพออกไหมว่าคนเหล่านี้จะทำให้สังคมร่มเย็นด้วยศีลธรรมและแก้ปัญหาทั้งหลายอย่างฉลาดรอบคอบ(ยั่งยืน)ได้อย่างไร?  
          เรื่องศีลในอนุบุพพีกถาก็คล้ายกับทาน นั่นคือมีผลทั้งต่อตนเองและต่อส่วนรวม อานิสงส์ที่ได้จากการมีศีลคือเป็นที่รักของผู้อื่นเพราะเป็นคนมีเมตตา ไม่ทำร้ายใคร ไม่ล่วงละเมิดทรัพย์สินใคร ไม่ก้าวก่ายหรือทำลายความสัมพันธ์ของครอบครัวผู้ใด ให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น มีสัจจะไม่โกหกหลอกลวงใครและไม่ทำลายลดทอนสติปัญญาตนพร้อมทั้งใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในการหาความรู้อย่างเต็มที่เพื่อสามารถทำตนให้เป็นประโยชน์ได้จริงฯ
          ทั้งสองประการที่กล่าวมาข้างต้นคือ ทานและศีลมีผลรวมอยู่อันที่ ๓ นั่นเองคือ
๓.  สวรรค์ ในที่นี้เป็นผลลัพธ์ของการให้ทานและรักษาศีล(ในระดับทั่วไปคือโลกิยะ) สวรรค์เป็นการได้เสพสุขอย่างเต็มที่ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาให้เหนื่อยเหมือนการเป็นมนุษย์ เช่น เกิดเป็นเทวดามีนางฟ้าแวดล้อม ๕๐๐ ตน จึงไม่น่าเบื่อสำหรับการเสพกาม ไม่มีโรคภัยมาทำให้กายลำบาก อยู่อย่างมีความสุข เมื่อตรัสมาถึงขั้นนี้ก็จะถือเป็นตัวดึงคนที่มีปัญญาน้อยหรือที่เราเรียกว่าเด็กให้อยากทำทานและรักษาศีลได้ดีทีเดียวฯ ให้สังเกตว่านี่เป็นการดึงคนของพระพุทธเจ้าโดยอาศัยธรรมะพื้นๆเพื่อให้เขาได้รับประโยชน์ไปด้วย ฝึกความเมตตา เอื้ออาทรและสติปัญญาขั้นพื้นฐานเพื่อเตรียมสู่ขั้นต่อไป
          พระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดการสอนไว้แค่นี้ ด้วยเหตุผลว่าพระองค์ไม่ได้ต้องการนั่งรับสังฆทาน/ซองปัจจัย รอให้คนมาถวายทานแก่ตนและรักษาศีลเพื่อไปเกิดในสวรรค์เท่านั้น แต่ความปรารถนาดีของพระองค์คืออยากให้เขาไปให้พ้นจากกามหรือความสุขจากการได้เสพวัตถุ(รวมทั้งคน) เรียกว่าอายนตะ โดยชี้ให้เห็นว่าสวรรค์ก็ไม่ยั่งยืน นั่นคือที่เราได้สวรรค์เพราะบุญที่เคยทำ หากบุญหมดก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดิมอีก มิหนำซ้ำอาจเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ฯ จึงชี้ให้เห็นโทษของกาม โดยจัดเป็นประเด็นที่ ๔ และประการต่อมาเมื่อผู้ฟังรู้สึกเบื่อสวรรค์คือเห็นว่าไม่ยั่งยืน พระองค์ก็เสนอความสุขอันใหม่คือ
๕. ผลที่ได้รับจากการออกมาจากกาม หมายถึงการที่ตนมีความสุขจากการมีปัญญามองเห็นความจริงของโลกเช่นการเกิดดับของสังขาร จนคลายความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ได้ว่าไม่ควรวิ่งตามหาอะไรอีกต่อไป เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ยั่งยืน เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เมื่อเห็นจริงดังนี้ก็มีความสุขประเภทที่ไม่ต้องสร้างหรือปั้นขึ้นมาเหมือนแต่ก่อน หลายคนอาจมองไม่ออกว่าการไม่ได้เสพสุขจะมีความสุขตรงไหน ท่านเปรียบคนทั่วไปเหมือนกับคนโรคเรื้อน นั่นคือจะมีความสุขมากหากได้เกาที่คัน แม้บางครั้งเลือดออกก็ยอม กล่าวคือชอบวิ่งหาความสุขไปเรื่อยๆ บ้าน รถ แฟน ของกินฯลฯ พอสุขได้สักพักก็อยากได้ใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่พระอรหันต์หรือคนที่ได้รับสุขในข้อที่เรากล่าวถึงอยู่นี้เป็นเหมือนคนที่รักษาโรคเรื้อนหายแล้ว เขามีความสุขอยู่ในตัวเพราะมีสุขภาพดี โดยไม่ต้องไปหาที่เกาให้เลือกออก และความสุขเช่นนี้เองจึงจะเป็นอิสระที่แท้จริงฯ
          ให้สังเกตว่า อนุบุพพีกถาทั้ง ๕ ที่อธิบายมานี้เป็นการสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยไล่ลำดับจากง่ายไปหายาก สุดท้ายพระองค์ก็จบลงด้วยการพ้นทุกข์ ไม่เคยให้พระเครื่องใครหรือทำน้ำมนต์ให้ใครกินเพียงเพื่อหลอกให้เขาติดอยู่กับศาสนาของพระองค์ ทีนี้เราสามารถสรุปได้แล้วว่าพุทธศาสนาแยกช้อนสำหรับเด็กก็จริง แต่ในช้อนเล็กที่ใส่ให้เด็กกินนั้นก็ยังเป็นข้าวหรืออาหารที่มีประโยชน์(ธรรมะสบายๆขั้นพื้นฐาน) หาใช่ใส่สิ่งแปลกปลอมเช่นโลหะเป็นต้นเพื่อทำให้เด็กยิ่งไกลจากความจริงและหลงงมงายหนักขึ้นทุกทีเพียงเพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ตนไม่ฯ
 กลับเข้าหาพระพุทธเจ้ากันเถอะ
     ปัจจุบันแม้จะไม่มีพระพุทธเจ้าให้เราเห็นแล้ว แต่ตัวอย่างและคำสอนของพระองค์ก็ถูกจารึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่กระทั่งพระเองก็ไม่ยอมให้ความสำคัญ กลับวิ่งหาหลักคิดที่เลิศหรูหรือหลักปรัชญาเช่นเรื่องช้อนป้อนเด็กดังที่ได้กล่าวมาเป็นต้นเป็นอุดมคติของตน ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าปรัชญาหรือตรรกศาสตร์ไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะดีมากหากนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาพระศาสนา ทำให้เรามีเหตุผลและได้รับความจริงมากขึ้น แต่หากเพียงแต่ท่องจำภาษิตที่ไม่ทราบแม้แต่ที่มา(คนพูด)และยึดมั่นว่าถูกต้องที่สุดโดยไม่แสวงหาความจริง(เช่นจากพระไตรปิฎกก่อน)ก็น่าเห็นใจ ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือคนที่มีการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม แต่กลับเห็นแก่ประโยชน์ที่ตนจะได้รับในเรื่องลาภ ยศ เงินทอง มากกว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตากรุณาก็เป็นที่น่าสลดใจฯ
     ตราบใดก็ตามที่เรายังอ้างว่าผู้คนยังไร้สติปัญญาแล้วไม่ยอมสอนธรรมะ(ความจริงในการพัฒนาชีวิต) กลับนำเอาวัตถุมงคล ของขลังเป็นต้นแจกจ่ายเพื่อแลกกับเงิน โดยหลอกให้เขายังติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นว่าจะสามารถบันดาลโน่นนี่ได้ แม้เราจะได้ประโยชน์จากความโง่ของเขาก็จริง แต่เขาจะไม่รู้จักโต พึ่งตนเอง มีความคิด เป็นคนดีและมีสติปัญญาขึ้นมาได้เลย...เอ้ย เขียนเสร็จซะที จะได้ไปขายพระต่อ...มีสายโทรมาไม่ได้รับด้วย...สงสัยคนโทรมาจองพระแน่เลย....อะไรนะ น้ำมนต์หรอ มาตักเอาสิ แล้วใส่เงินไว้ในตู้อนุโมทนาแล้วกัน กี่บาทก็ได้แล้วแต่ศรัทธา แต่ส่วนใหญ่เขาใส่กันไม่ต่ำกว่าร้อยนะจ๊ะฯลฯ
......................................................


[1]   อหญฺเจว  โข  ปน  ธมฺม̊  เทเสยฺย̊  ปเร จ เม  น อาชาเนยฺยุ̊   โส   มมสฺส  กิลมโถ   สา   มมสฺส   วิเหสาติ ฯ อปิสฺสุ  ภควนฺต̊   อิมา  อนจฺฉริยา  คาถาโย ปฏิภ̊สุ  ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา.....ข้อที่ ๗ วินัยปิฎก มหาวรรค
[2]  พหุ̊ เว สรณ̊ ยนฺติ  ปพฺพตานิ วนานิ จ  อารามรุกฺขเจตฺยานิ   มนุสฺสา ภยตชฺชิตา  เนต̊ โข สรณ̊ เขม̊   เนต̊ สรณมุตฺตม̊ เนต̊ สรณมาคมฺม  สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ขุทฺทกนิกายสฺส ธมฺมปทคาถา ข้อที่ ๑๔
[3] ภาษิตที่ปรากฎในพระคัมภีร์พอจะยืนยันความสำคัญของความหวังได้ดังนี้
Proverbs 10:28 The hope of the righteous will be gladness, But the expectation of the wicked will perish.
1 Corinthians 13:7 bears all things, believes all things, hopes all things, endures all things.
13 And now abide faith, hope, love, these three; but the greatest of these is love.
Titus 3:7 that having been justified by His grace we should become heirs according to the hope of eternal life.
1 Peter 1:3 Blessed be the God and Father of our Lord Jesus Christ, who according to His abundant mercy has begotten us again to a living hope through the resurrection of Jesus Christ from the dead.
[4]  อสฺสทฺโธ อกตญฺญูู จ  สนฺธิจฺเฉโท จ โย นโร  หตาวกาโส วนฺตาโส  ส เว อุตฺตมโปริโส ฯ แปลใจความว่า ผู้ใดเป็นคนไม่มีศรัทธา อกตัญญู ทำลายประตูเข้าไปขโมยของชาวบ้าน เป็นคนด้อยโอกาส อยู่แบบไม่มีความหวัง เขานั้นแหละเป็นคนดีเลิศ การแปลเช่นนี้เป็นการแปลตามตัว ความจริงภาษิตนี้เป็นเหมือนการพูดประชด โดยใช้ศัพท์ที่ร้ายแรงเหมือนที่แปลไป แต่หมายเอาความหมายใหม่ที่ดีงาม คือ คนดีที่สุดต้องเป็นคนไม่เชื่อคนง่าย(อสฺสทฺโท),ต้องเป็นคนรู้จักพระนิพพานที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้เกิดได้อีก(อกตญฺญู), ตัดกรรมที่จะทำให้เวียนว่ายในสงสาร(สนฺธิจฺเฉโท), ไม่มีโอกาสที่จะทุกข์อีก(หตาวกาโส) และเป็นคนไม่มีอาลัยคือยึดติดในทุกสิ่ง(วนฺตาโส)ฯ สุตตันตปิฎก บุททกนิกาย ธรรมบท ข้อที่ ๗ อรหนฺตวคฺโค สตฺตโม
[5] “Shariputra, all dharmas are empty of characteristics. They are not produced. Not destroyed, not defiled, not pure and they neither increase nor demolish. Therefor in emptiness, there is no form, feeling, cognition, formation or consciousness…….” The Heart of Prajnaparamita Sutra, page 1, Buddhist Text Translation Society, USA. 2002
[6] (หลายคนชอบถามว่าท่านสอบได้บาลีประโยคไหน...ความจริงคำว่ามหาเป็นการยกย่องคนเก่งที่อาจใช้กันทั่วไปเสมือนการให้เกียรติ เหมือนท่านมหาโมคคัลลานะ ยังมีอีกศัพท์หนึ่งคือ สิริ หรือ ศรี นี้ก็ใช้ในความหมายยกย่องเช่นกันและมีคนนำมาใช้มาก เราลองถามชาวต่างชาติที่ศึกษาพุทธศาสนาโดยไม่ใช้หนังสือภาษาไทยดูว่า มารดาของเจ้าชายสิทธัตถะชื่ออะไร? คำตอมที่ได้คือ มายา หรือให้ดีกว่านั้นคือ มหามายา บ้านเราให้เกียรติท่านมากจึงใส่ สิริ ไปให้อีกตัวหนึ่ง) ลองดูภาษิตที่มาจากขุททกนิกาย เถรีคาถาของพระนางมหาปชาบดีโคตมีดังนี้ [๔๕๖] “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมแด่พระองค์ ซึ่งทรงช่วยปลดเปลื้องหม่อมฉัน และชนอื่นเป็นอัน มากให้พ้นจากทุกข์ หม่อมฉันกำหนดรู้ทุกข์ทั้งปวงแล้ว เผาตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เหือดแห้งแล้ว ได้เจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว ได้บรรลุนิโรธแล้ว ชนทั้งหลายเป็นมารดา เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นพี่ชายน้องชาย เป็นปู่ย่าตายายกันในชาติก่อน หม่อมฉันไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่ประสบอริยสัจ ๔ จึงได้ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ก็หม่อมฉันได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล้ว อัตภาพนี้มีในที่สุด ชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวมีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียงกัน การกระทำโลกุตตรธรรมให้ประจักษ์แก่ตนอย่างนี้ เป็นการถวายบังคมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระนางเจ้ามหามายาเทวี (มายา ชนยิ โคตม̊ สังเกตว่าศัพท์บาลีมีเพียง มายา เท่านั้น) ได้ประสูติพระโคดมมา เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ เพราะพระองค์ได้บรรเทากองทุกข์ของชนทั้งหลายผู้อันพยาธิและมรณะทิ่มแทงแล้ว”.
[7] จตฺตาโรเม  ภิกฺขเว  ปุคฺคลา  สนฺโต ส̊วิชฺชมานา โลกสฺมึ กตเม  จตฺตาโร  อุคฺฆฏิตญฺญู  วิปจิตญฺญูเนยฺโย ปทปรโม อิเม โข ภิกฺขเว จตฺตาโร ปุคฺคลา สนฺโต ส̊วิชฺชมานา โลกสฺมินฺติ ฯ อังคุตตรนิกาย จตุกกะนิบาต ข้อ ๑๓๓
[8] เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิย̊ วา ปทุมินิย̊ วา ปุณฺฑรีกินิย̊ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก  ̊วฑฺฒานิ  อุทกานุคฺคตานิ อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ   อปฺเปกจฺจานิ...วินัยปิฎก มหาวรรค ข้อที่ ๙
[9]  เอกมนฺต̊   นิสินฺนสฺส   โข   ยสสฺส  กุลปุตฺตสฺส ภควา  อนุปุพฺพิกถ̊   กเถสิ   เสยฺยถีท̊   ทานกถ̊     สีลกถ̊สคฺคกถ̊   กามาน̊   อาทีนว̊   โอการ̊   สงฺกิเลส̊   เนกฺขมฺเม  อานิส̊̊ ปกาเสสิ    ยทา  ภควา  อญฺญาสิ   ยส̊  กุลปุตฺต̊   กลฺลจิตฺต̊ มุทุจิตฺต̊    วินีวรณจิตฺต̊   อุทคฺคจิตฺต̊   ปสนฺนจิตฺต̊   อถ  ยา  พุทฺธาน̊ สามุกฺก̊สิกา  ธมฺมเทสนา  ̊  ปกาเสสิ  ทุกฺข̊  สมุทย̊  นิโรธ̊  มคฺค ̊ฯ วินัยปิฏก มหาวรรค ข้อที่ ๒๖