วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ใช้ของขลังมาปลอบใจ...แล้วเมื่อไหร่หนูจะโต?

ใช้ของขลังมาปลอบใจ...แล้วเมื่อไหร่หนูจะโต?
บทความ pdf
ที่มาและวัตถุประสงค์
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจเรื่องอิทธิพลของกำลังใจหรือการใช้ของขลัง/วัตถุมงคลมาเป็นเครื่องปลอบโยนพุทธบริษัทในการเผชิญกับปัญหาชีวิตฯด้วยสังเกตเห็นว่าปัจจุบันการสอนธรรมะหรือหลักธรรมทางศาสนาได้ถูกลดทอนลงจากสิ่งที่มีค่าสูงสุด(การพ้นทุกข์หรือมีปัญญาเห็นสัจธรรม)เป็นแต่เพียงสิ่งปลอบขวัญให้ผู้คนสบายใจขึ้นและเข้าหาวัดหรือธรรมะเพียงเพราะเหตุผลนี้เป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งเพื่อชี้ให้เห็นทัศนะที่แท้ของพุทธศาสนาว่ามีจุดยื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ที่สำคัญคือ วิทยากรหลายคน(หมายถึงโล้นซ่าใช่ป่าว?)มักเข้าใจพุทธศาสนาผิดจนนำคำสอนมาใช้อย่างคลาดเคลื่อนและ/หรือสอนอยู่เพียงระดับเดียวโดยไม่ยอมเลื่อนขึ้นสู่ธรรมะที่ลึ้งซึ้ง(เป็นประโยชน์)มากขึ้น ซึ่งก็ให้เหตุผลว่าผู้คนยังไม่พร้อม(โตพอ)ที่จะรับฟังสิ่งที่ดีกว่านี้ได้ฯลฯ ความเข้าใจด้านสาระธรรมในหมู่พุทธบริษัท(รวมทั้งตัวผู้สอนเอง)จึงอยู่ในระดับโลกีย์ที่ดับกระหายเหมือนการดื่มน้ำเกลือ ไม่สามารถก้าวสู่เป้าหมายที่แท้ของพุทธศาสนาได้ เป็นที่ทราบกันดีว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาของการพัฒนาคน กล่าวโดยพื้นฐานคือมนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายตรงที่พัฒนาได้นั่นเอง หากปฏิเสธขอเท็จจริงนี้เสียแล้วย่อมเป็นเสมือนการปิดทางในการสอนธรรมะระดับที่สูงขึ้นไปในตัว พระพุทธเจ้าเองแรกตรัสรู้ใหม่ๆก็คิอเช่นนี้ (คือสัตว์ทั้งหลายมีธุลี(ความโง่)บดบังดวงตาอยู่ จะเข้าใจธรรมะคงยาก จึงอาจเป็นการเหนื่อยเปล่าในการสอนธรรม[1]) แต่สุดท้ายพระองค์ก็ตัดสินใจสอนด้วยเห็นว่า คนที่โง่น้อย (มีธุลีในดวงตาน้อย)ยังมีอยู่ฯ นี้จึงเป็นตัวอย่างเบื้องต้นก่อนเข้าสู่เนื้อหาเพื่อแสดงถึงการประกาศธรรมของพุทธศาสนา(ที่เป็นทั้งโลกิยะและโลกุตตระ)โดยไม่ใช้เหตุผลมาอ้างว่าผู้ฟังยังไม่โตฯลฯ
นิยามศัพท์ (Definitions)
ใคร่จะทำความเข้าใจเรื่องความหมายของศัพท์ที่นำมาตั้งชื่อหัวข้อก่อนเพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อนกันดังนี้
๑.  ของขลัง หมายถึง สิ่งที่คนมีความเชื่อว่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์หรือมีอำนาจบางอย่างในการดลบันดาลให้เจ้าของประสบความสำเร็จ งอกงาม หรือปลอดภัยได้จริง เช่นพระเครื่อง ด้ายข้อมือ แป้งเจิม(แป้งเจิมรถกับแป้งเจิมวัวอย่ามาวางใกล้กันนะครับหลวงพ่อ เดี๋ยวเหมือนคราวที่แล้ว เอารถมาให้เจิม ออกจากวัดไปวันนั้นทั้งวันชนกัน ๑๖ ครั้ง หลวงพ่อใช้แป้งเจิมวัวฯ) ตะกรุด ผ้ายันต์ ไอ้อั่ง นึกไม่ออกแล้ว ผู้อ่านขึ้นไปบนหิ้งพระแล้วดูเอาเองเถิดฯลฯ
๒.   ปลอบใจ หมายถึง ก.การทำให้เบาใจคือรู้สึกดีขึ้น พูดง่ายๆคือมีไม่ว้าเหว่หรือมีเพื่อนนั่นเอง เช่นลูกไม่ต้องเสียใจที่สอบเข้ามหาลัยไม่ได้ เพราะแม่เองเมื่อก่อนก็สอบไม่ได้เหมือนกัน ยังมีอีกตั้ง ๓ มหาลัยที่เปิดรับเราอยู่(มหาลัยไหน?), ลูกอย่าเสียใจไปเลยที่เห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ทุกบ้านเขาก็วางมวยกันหมดแหละเพียงแต่ลูกไม่รู้เท่านั้นเอง, อย่ากังวลไปเลยไอ้จ๋อย เองไม่ใช่เหยื่อรายแรกที่ถูกโล้นซ่าหลอกขายพระเครื่อง ใครๆเขาก็โดนทั้งนั้นแหละ ไม่งั้นมันคงไม่รวยจนถึงขั้นเป็นเจ้าของรีสอทร์หรอก...(คำเตือน ตัวอย่างที่ยกนี้บางอย่างอาจมิใช่ความจริง...เพราะกลัวโดนฟ้อง?...เพียงแต่ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของนิยามศัพท์เท่านั้นเอง)ฯ ข.เป็นการสร้างความมั่นใจ(ลดความหวาดกลัว)ในการจะทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ เช่น ฉันเชื่อว่าแกต้องชนะการต่อยมวยในครั้งนี้แน่ เพราะได้ข่าวว่าคู่แข่งแกเกิดอาการท้องร่วงอย่างหนักฯ, นายไม่ต้องกลัวหลุดจากเก้าอี้นายกหรอกครับ เดี๋ยวทีมงานของเราก็ตัดต่อภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมให้เห็นว่าฝ่ายโน้นต่างหากที่พกระเบิดเข้ามาร่วมชุมนุม ตีหน้าซื่อตอบสื่อมวลชนไปเลยครับฯ หากจะยกเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาโดยตรงก็คือ โยมคนสวยสักน้ำมันไปแล้วนะ ต่อไปดูแลสามีให้ดี อย่าไปดุด่า เดี๋ยวก็มัดใจมันอยู่ฯลฯ
๓.  หนู...(ที่ยังไม่โต) ในที่นี้ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับสัตว์ประเภท ๔ เท้าหรือที่ภาษาอังกฤษ ว่า Rodent ซึ่งเป็นศัตรูกับแมวเหมียว อีกทั้งไม่เกี่ยวกับการใช้เรียกคำนำหน้าเด็กที่แบ่งตามเกณฑ์อายุคือ ๐-๑๒ ปี แต่หมายเอาใครก็ตาม(อาจอายุ ๗๐ ก็ได้) ที่ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ใช้ชีวิตโดยอาศัยความเชื่อเป็นหลัก เขาไหว้ปลวกก็ไหว้ด้วย ขูดต้นไม้ทาแป้งแล้วนั่งลูบก็เอาด้วย, เป็นโรคเก๊า แต่หมดดูบอกให้ตั้งศาลพระภูมิก็ทำตามฯ, วัดประชาสัมพันธ์สร้างห้องน้ำห้องละ ๙๐๐๐ บาทแต่ด้วยเป็นโปรโมชั่นสิบท่านแรกลดทันทีเหลือ ๕๐๐๐ บาท ก็ไปเป็นเจ้าภาพสร้างด้วย (โฆษณานี้มีอยู่จริง ที่ยกตัวอย่างอันนี้คือสงสัยว่า การสร้างบุญหรือห้องน้ำซึ่งเฉลี่ยมาแล้วว่าตกห้องละ ๙๐๐๐ บาทจะลดได้ด้วยหรือ อีกอย่างถ้าอยู่ในช่วงโปรโมชั่นลดกระหน่ำเช่นนี้ บุญที่ได้จะลดไปด้วยหรือไม่? ลูกพี่โล้นช่วยตอบหน่อยค๊าบ?)
การปลอบใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิต เพราะทุกคนเชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนโยน อีกทั้งยังอ่อนแอ คือต้องการที่พึ่งทางจิตใจอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นหลายศาสนาในโลกนี้คงไม่เกิดขึ้น ตัวอย่างง่ายๆคือศาสนาในยุคปฐมกาล (Primitive Religion) ซึ่งสร้างศาสนาขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เห็นว่าฝนตก ฟ้าฝ่า อาจจะมาทำร้ายตนได้ จึงต้องพากันหาสรณะดังพระบาลีที่ว่า “มนุษย์นั้นเมื่อเกิดมีทุกข์บีบคั้น ภัยคุกคาม ก็ยึดเอา ภูเขา ป่าไม้ อาราม ฯลฯ เป็นที่พึ่ง แต่สุดท้ายก็สรุปว่าการพึ่งวัตถุเหล่านี้(เราอาจกล่าวเสริมไปได้ว่า รวมเอา พระเครื่อง ปลัดขิก มีดหมอ สายสิญจ์ น้ำมนต์ เป็นต้นเข้าด้วย)ไม่สามารถทำให้พ้นจากภัยพิบัติหรือทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดถาวรได้จริง[2]  แต่อย่างไรก็ตาม ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องการปลอบใจนี้ก็ไม่ควรจะมองงว่าเลวร้ายเสียทีเดียว นั่นคือเมื่อยอมรับว่าเป็นที่กำจัดภัยพิบัติอย่างถาวรไม่ได้ แต่บางอย่างสามารถทำให้คนมีชีวิตที่ดีในช่วงเวลาระยะหนึ่งได้ฯ เช่นมีกำลังใจในการสู้ชีวิตที่ลำบากหรือยอมรับชะตากรรมที่เลวร้ายได้อย่างหน้าตาเฉย(ไม่ได้หมายความว่า ด้านแบบตราช้างนะ แต่เป็นคนมีกำลังใจเต็มเปี่ยม)ซึ่งในใจลึกๆเขาอาจเชื่อว่าที่ชีวิตเป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าต้องการทดลองดังเรื่องของ โยบเป็นต้น
ความหวัง ๒ ประเภท
อาจกล่าวได้ว่าแรงบันดาลใจทั้งหลายที่เป็นตัวขับเคลื่อนมนุษย์นั้นบางอย่างอาจเป็นความหวัง ศาสนาคริสต์บอกว่า “มนุษย์จะอยู่ได้ด้วยความหวัง[3]” ซึ่งก็เป็นความจริง นั่นคือหากไม่ทราบว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไรหรือจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อใครก็ไม่รู้จะทำไปทำไม เช่นนายดำตื่นตั้งแต่ตี ๓ กรีดยางเพื่อเก็บเงินส่งให้ลูกเรียนหนังสือ(หนังตลุงแซวว่า เด็กที่จากบ้านไปเรียน เวลาว่างก็ไปเที่ยวงามวงศ์วาน แต่พ่อแม่อยู่ที่บ้านกรีดยาง/ทำงานกันจนวานเป็นวงหมดแล้ว?) จะเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ก็มีความหวังเป็นแรงใจ คิดว่าวันหนึ่งลูกจะประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตความเป็นอยู่จะได้ไม่ลำบากเหมือนตนฯ อันนี้เป็นแรงใจในด้านดี แต่ในด้านลบก็มีเหมือนกัน นั่นคือเอาอดีตที่เคยประสบมาซึ่งเก็บกดไว้นานมาระบายกับคนรุ่นหลัง อยากให้ผู้อื่นลำบากหรือรับรสชาติที่เจ็บแสบเหมือนตน เช่นเจ้าอาวาสบางรูปบอกว่า เมื่อก่อนตนต้องเดินไปเรียนระยะทางเป็น ๑๐ กิโลเมตร ครั้งตนมีตำแหน่งใหญ่โตแล้ว มีรถประจำตัวแทนที่จะไปส่งเณรเรียนหนังสือก็บอกให้เดินไปเอง โดยอ้างว่าระยะทางแค่ ๕ กิโลฯ สมัยก่อนตัวเองต้องลำบากกว่านี้มากฯ จะเห็นว่าฟังดูมีเหตุผลนะครับ และสงสารเณรวัดนั้นจริงๆที่ต้องมาตกเป็นทายาทอสูร เราต้องยอมรับและเห็นใจท่านที่ลำบากในอดีต แต่นั่นเป็นยุคที่บ้านเมืองไม่เจริญ อย่างน้อยก็ไม่มีความพร้อมเรื่องรถรับส่งเป็นต้น จึงไม่มีทางเลือก แต่ในยุคที่คนมีทางเลือก การต้องมาทนทุกข์ทรมานโดยไม่ยอมเลือกนั้นจัดเป็นคนสุดโต่งประเภททรมานตนเอง ส่วนผู้ที่สามารถช่วยได้และเป็นความรับผิดชอบของตนเองโดยตรงแต่กลับเพิกเฉยเสีย อันนี้ศาสนาถือเป็นการขาดความเมตตากรุณาและทางราชการถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ครับฯ สรุปก็คือความหวังประเภทหลังนี้เป็นความหวังแบบซาดิสนั่นเอง อยากให้ผู้อื่นได้ความรู้และประสบการณ์นั่นแหละ แต่ออกนอกทางสายกลางคือความพอดีไป นั่นคือเราสามารถทำให้ลูก/เณรมีความรู้ต่างๆได้โดยการจัดเตรียม/ดูแลความสะดวกให้เขาอย่างเพียงพอ โดยให้เขามีเวลาว่างมากขึ้นในการศึกษาหรือทำงานที่มีประโยชน์ ดีกว่าการปล่อยให้เดินอยู่ข้างถนนเป็นระยะทาง ๑๐ กิโลฯ
จะอย่างไรก็ตามทั้งพ่อแม่ที่ทำงานส่งลูกเรียนด้วยความหวังอยากให้ลูกได้ดีกับท่านเจ้าอาวาสใจร้ายที่ยกมานี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนความหวังประเภทแรกเท่านั้น นั่นคือ ความหวังแบบปุถุชน (หวังเพื่อต้องการบางอย่างกลับคืน) บางครั้งดูเหมือนเราต้องการทำเพื่อเขาจริง แต่บ้างก็ทำเพื่ออยากให้เขากลับมาดูแลตนตอนแก่ (ชาดกเรื่องนกแขกเต้ายอดกตัญญูใช้ศัพท์ว่า “ให้เขากู้หนี้”) นั่นคือเป็นการผูกพันธะไปในตัว ต่อมาเขาระลึกถึงบุญคุณนี้แล้วจะไม่ทอดทิ้งเรา(ที่เป็นคนแก่ทั้งหลาย) หรือบ้างก็ไม่ทอดทิ้ง แต่แกล้งพาไปเที่ยวและลืมไว้ที่บ้านพักคนชราฯ
ขอแทรกตรงนี้นิดหนึ่ง ผู้เขียนมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนมีการศึกษาน้อย แต่เป็นคนช่างคิด ถือว่าค่อนข้างฉลาดทีเดียว ครั้งหนึ่งท่านเสนอให้ฟังว่า “บ้านพักเด็กและบ้านพักคนชราน่าจะเอามาไว้ที่เดียวกันฯ เพราะต่างคนต่างเหงา (จะบอกว่าตกอยู่ในสภาวะเดียวกันคือถูกทิ้งว่างั้นเหอะ?) ทั้งสองฝ่ายจะรู้สึกดีขึ้น เด็กก็รู้สึกว่าอยู่กับตา ยาย (แม้ไม่มีพ่อแม่ก็ยังดีกว่าไม่มีใครเลย) ตายายก็รู้สึกสบายใจที่มีหลายรักอยู่ใกล้ๆ อีกอย่างเขาอาจจะดูแลกันเองจนเจ้าหน้าที่เราลดภาระลงได้มาก” แต่ทุกอย่างก็เป็นอันจบลงเพียงเพราะเพื่อนคนหนึ่งแซวขึ้นว่า “แกอย่าคิดตื้นๆนะโว๊ย.. เดี๋ยวนี้คนเราจิตใจโหดร้าย ผู้ใหญ่บางคนที่ถูกเขาเอาไปเที่ยวที่นั่นเพราะลูกหลายรับนิสัยไม่ได้นั่นเอง เกิดเอาไปอยู่กับเด็กแล้วบังคับให้หลานอมนกเขาเหมือนในหน้าหนังสือพิมพ์จะทำไงว่ะ? เดี๋ยวเด็กก็เป็นโรคจิต ต้องส่งศรีธัญญาต่ออีกฯลฯ อย่าให้เกิดปัญหามากกว่านี้อีกเลย” ปรากฎว่าการประชุมก็เลิกรา ความจริงเพื่อนคนแรกยังอธิบายความคิดตนเองต่อโดยการให้แยกเพศฯ แต่ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาต่อแล้วกัน เผื่อความคิดของเพื่อนคนนี้จะมีประโยชน์ฯ ที่นำเรื่องนี้มาเล่าก็มีจุดประสงค์ที่ว่า บางคนสามารถทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ขณะเดียวกันใจลึกๆกลับหวังประโยชน์บางอย่างที่ตนจะพึงได้ต่อไป(เขาเปรียบเทียบบุคคลเช่นนี้เหมือนสุนัขที่นั่งเฝ้าดูกระต่ายวิ่งเล่นโดยไม่วิ่งไล่จับ แต่ตนก็ไม่ได้นั่งอยู่เปล่าๆ หาอะไรบางอย่างมานั่งลับเขี้ยวตนรอให้โอกาสประจวบเหมาะฯ) บางคนที่กิเลสละเอียดไปกว่านี้คือยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกจริงๆ และดูเหมือนไม่ต้องการอะไรตอบแทน แต่พอวิเคราะห์ดูให้ลึกพบว่า เขาทำเพราะความยึดมั่นในตัวตนและตัวลูก ฟังดูอาจเข้าใจยาก อธิบายว่าที่ทำนั้นเพราะรักตัวเองนั่นเอง เขามีความสุขเพราะเขามีลูก นั่นคือการที่ได้เห็นลูกได้ดีประสบความสำเร็จเขาก็สุขด้วย พอเห็นลูกทุกข์เขาก็ทุกข์ด้วย ลูกจึงเป็นเสมือนตัวเขา คนประเภทนี้หลายคนใจแคบมากที่ไม่ยอมช่วยเหลือลูกผู้อื่นเลย สนใจแต่ลูกตนเท่านั้น ความรักประเภทนี้จึงถือเป็นความรักที่แคบอยู่ ไม่ได้ทำด้วยใจเปิดกว้างจริงๆ การช่วยเหลือประเภทนี้เองที่เรียกว่าความหวังแบบปุถุชนหรือหวังบางอย่างกลับคืนตนเอง (แม้บางอย่างในที่นี้ไม่ได้เป็นรูปธรรมก็ตาม) แต่เพราะยังยึดมั่นก็ไม่พ้นทุกข์
เพื่อเห็นตัวอย่างความยึดติดประเภทนี้ให้ชัด ให้สังเกตหนุ่มสาวเป็นหลัก หลายคนชอบโกหกว่าตัวเองรักคนนั้นคนนี้แบบน้องสาว(คำพูดของคนที่เป็นชายแท้) พี่ชาย(...หญิงแท้) น้องชาย(...เก) พี่สาว(...เลสเบียนส์)ฯลฯ ที่พูดอย่างนี้เพราะ ๑.จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติด ๒. อยากเลิกเต็มทีแต่จะทิ้งแบบไม่ใยดีก็ดูกะไรอยู่(พี่ชายที่แสนดี) แต่ใจลึกๆนั้นทำยาก เช่นต่อให้เรียกว่าน้องสาว พี่ชาย หากเปิดโอกาสให้อยู่สองต่อสอง เรื่องที่ไม่คาดคิด(คือคิดอยู่ลึกๆแต่ไม่เคยพูดนั่นแหละ)สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาฯ นี่คือการมีใจกว้างแบบปุถุชน สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้แบบฝังความหวังบางอย่างไว้ แต่อย่าพึงเข้าใจว่าทุกคนต้องเป็นเช่นนี้นะครับ คนดีในสังคมหลายคนแม้จะไม่ใช่อริยบุคคลก็ทำประโยชน์เช่นนี้ได้ หมายถึงข้ามเรื่องเพศมาได้ แต่ก็มาติดบางอย่างอีกเช่น ยศตำแหน่ง คำสรรญเสริญเป็นต้น
ความหวังประเภทที่ ๒ เป็นความหวังที่ไม่ยึดติดในผู้ใด แม้แต่ตนเอง ไม่หวังลาภ ยศ สรรเสริญเป็นต้น ผู้ทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นอริยบุคคลเท่านั้น บางทีอาจเรียกว่าทำความดีแบบไม่หวังก็ได้ พระไตรปิฎกใช้ศัพท์ว่า “ผู้สิ้นหวัง” (วนฺตาโส)[4] ฟังดูเหมือนเป็นเชิงลบ แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทำด้วยใจว่าง เป็นมหากรุณาที่จริง คือท่านเพียงแต่เห็นความสำคัญหรือตระหนักในหน้าที่เท่านั้นเอง ไม่ได้ทำเพราะผู้นั้นผู้นี้เป็นคนที่เรารักหรือเราเกลียด ความจริงข้อนี้ทางพุทธศาสนาเน้นมาก เราจึงนิยมใช้คำว่า ธาตุ มาประกอบ หลายคนที่เป็นนักเรียนมาก่อนอาจคิดถึงตารางธาตุตอนเรียนวิทยาศาสตร์ แต่ธาตุในทางพุทธศาสนามีไว้เพื่อให้คนมองทุกอย่างแบบไม่ยึดติด นั่นคือไม่มองว่าสิ่งนั้นเป็น สัตว์(หมายถึงมีชีวิต) บุคคล ตัวตน เรา เขา ฯลฯ การมองเช่นนี้ได้จะทำให้คนคลายความยึดมั่นเสียได้(วิปัสสนาคือการฝึกให้คนเห็นความจริงอย่างนี้เอง...บ้างก็เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ) เมื่อมองได้เช่นนี้เองจึงเรียกว่าว่าง... คือมองคนก็ไม่เห็นคน (ไม่ได้หมายความว่ามองทะลุเสื้อผ้าไปเหมือนโปรแกรม X-Ray ในอินเตอร์เน็ตนะ) แต่มองเห็นเพียงธาตุหรือให้ชัดกว่านั้นคือขันธ์ ๕ นั่งเอง แม้พุทธศาสนามหายานก็เน้นเรื่องนี้พิเศษเหมือนกัน สังเกตได้จากปรัชญาปารมิตาสูตร ที่เริ่มหน้าแรกด้วยการเห็นขันธ์เป็นของว่าง ไม่มีรูป เวทนา สัญญา.....ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจฯ[5] คือสิ่งเหล่านี้อยู่ได้เพียงเพราะอาศัยปัจจัยอื่นและทำงานกันเป็นทีมนั่นเองฯ
พระอรหันต์ต้องการกำลังใจด้วยหรือ?
ผู้เขียนใคร่จะยกตัวอย่างประวัติพระอรหันต์รูปหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนนำในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก นั่นคือพระมหากัสสปะนั่นเอง[6] ท่านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีได้เคยกล่าวถึงพระมหากัสสปะไว้ในเรื่องแรงบันดาลใจ(ซึ่งมีการจัดทำเป็นเล่มหนังสือ กล่าวถึงประวัติคนดังทั้งหลาย มีท่านมหาตมคานธี เจ็ดลีเป็นต้น) โดยกล่าวว่าเหตุที่ท่านกัสสปะได้จัดทำสังคายนาเพราะได้รับกำลังใจจากพระพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งพระชนม์อยู่ ทรงให้เกียรติยกย่องท่านกัสสปะหลายอย่าง ท่านกัสสปะเองจึงเกิดกำลังใจ เสมือนว่าพระพุทธเจ้าฝากให้ท่านดูแลศาสนา เมื่อเกิดมีพระที่กล่าวทำนองไม่เคารพพระธรรมวินัยขึ้น ท่านเลยรวบรวมพระจัดการทำสังคายนาฯลฯ สรุปคือที่ท่านทำเช่นนี้ได้เพราะได้รับกำลังใจจากพระพุทธเจ้าฯ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการคัดค้านเรื่องนี้ด้วยเห็นว่าเนื้อหาที่ท่านนำมากล่าวก็ค่อนข้างถูกอยู่แล้ว ที่สำคัญอาจเป็นเพราะเรื่อง/สถานการณ์ที่ท่านกำลังพูดถึงเป็นเรื่องกำลังใจโดยเฉพาะ จึงถือโอกาสยกตัวอย่างท่านมหากัสสปะไปใช้เพื่อให้พุทธบริษัทได้มีความรู้พุทธศาสนามากขึ้นฯ
เรื่องที่ต้องการกล่าวในที่นี้มีนิดเดียว นั่นคือหากมองว่าพระอรหันต์จะทำอะไรก็ตามต้องรอให้ผู้อื่นให้กำลังใจหรือต้องได้รับแรงบันดาลใจจากคนรอบข้างหรือคนที่ตนเคารพนับถือก่อน มิเช่นนั้นก็จะไม่ทำ ก็ไม่น่าจะถูกฯ ผู้เขียนเชื่อว่าพระอริยบุคคลที่เต็มพร้อมด้วยปัญญาเช่นนี้ไม่น่าจะต้องการกำลังใจ(มิใช่ว่าตัวเองเข้าใจภาวะความเป็นอรหันต์นะ เพียงแต่เพราะตนเป็นปุถุชน จึงคิดว่าหากอรหันต์ต้องมาเป็นเหมือนพวกเราที่เป็นปุถุชน จะทำประโยชน์ก็ต้องรอกำลังใจก่อน ไม่น่าจะเป็นวิสัยของพระอรหันต์)  ผู้เขียนกลับเห็นว่าที่ท่านมหากัสสปะทำสังคายนามิใช่เพราะได้รับกำลังใจจากพระพุทธเจ้า แต่เป็นเพราะตนตระหนักถึงหน้าที่การรักษาพระศาสนา ต่อให้พระพุทธเจ้ามิได้กล่าวอะไรไว้(ซึ่งความจริงพระองค์ก็ไม่ได้มอบมรดกการปกครองสงฆ์ให้ใครอยู่แล้ว)ท่านมหากัสสปะก็จะทำเช่นนั้นอยู่ดี โดยอาศัยความอาวุโสคือมีพรรษามากกอปรกับการเป็นผู้มีปัญญาเข้าใจพุทธพจน์อย่างลึกซึ้งฯ บางครั้งเรามองอริยบุคคลด้วยความคิดของเราเอง อาจเทียบเรื่องนี้คือ เด็กคนหนึ่งออกจากบ้านไปเมืองกรุงเพื่อศึกษาเล่าเรียน เธอตั้งใจเรียนมากด้วยว่าได้รับกำลังใจจากทางบ้านและเธอก็เป็นความหวังของทุกคน ครั้นเธอประสบความสำเร็จก็อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นเพราะแรงบันดาลใจ เรื่องนี้เป็นของปุถุชน ไม่สามารถเทียบได้กับคนที่ไม่ต้องการกำลังใจ(เพราะมีพร้อมอยู่แล้วอย่างอรหันต์ได้)นั่นคือเขาเล็งเห็นประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้อื่น เช่นหากเป็นพระอรหันต์ออกไปสอนธรรม ท่านไม่ต้องการกำลังใจ นั้นคือเราจะไปให้กำลังใจท่านหรือไม่ท่านก็ทำตามหน้าที่ด้วยเจตนาที่จะให้ผู้สนใจได้บรรลุธรรม หรือหากไม่มีใครเข้าใจธรรมะเลยท่านก็ไม่ได้ร้องไห้ ขาดกำลังใจ โกรธและประชดด้วยการเลิกสอน  หากออกจากเมืองนั้นไป เจอคนเมืองอื่นที่พอจะมีปัญญา ท่านก็สอนอีก นี้จึงเป็นการตระหนักถึงหน้าที่โดยอาศัยเมตตากรุณาและสติปัญญาที่พรั่งพร้อมตัดสินใจได้ด้วยตนเอง มิใช่อาศัยกำลังใจหรือแรงบันดาลใจจากคนอื่นฯ
ขอสรุปเรื่องความหวัง ๒ ประเภทที่เขียนไว้เป็นหัวข้อก่อนว่า ความหวังประเภทแรกเป็นความหวังที่ผู้นั้นทำประโยชน์หรือช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อหวังบางอย่างมาตอบสนองตนเอง ส่วนประเภทหลัง(ของพระอรหันต์)เป็นความหวังที่ทำเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว เพราะตนเองมีความสุขบริบูรณ์อยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องหาอะไรมาใส่เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆเหมือนคนทั่วไปฯ
พระเครื่องเป็นของปลอบโยนได้หรือ?
คราวนี้จะเข้าประเด็นหลัก(หมายถึงการโจมตีโล้นซ่าโดยเฉพาะหรือ? เปล่าแต่เพราะเป็นเรื่อง)ที่พระทั้งหลายชอบนำมาอ้าง นั่นคือพระแม้แต่ท่านที่มีการศึกษาจบปริญญาโทก็เปรียบเทียบเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า
ผู้คนทั่วไปมีทั้งโง่และฉลาด เราจึงไม่สามารถสอนธรรมะให้แก่ทุกคนได้ เปรียบเหมือนการกินข้าวของเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เราอาจใช้ช้อนขนาดปกติได้ แต่เด็กต้องใช้ช้อนเล็กพิเศษเพื่อให้เหมาะกับขนาดปากของเขา ดังนั้นผู้มีความรู้(ผู้ใหญ่)เราจึงสามารถสอนธรรมะได้เลย ส่วนคนที่ยังไม่มีความรู้(เด็ก)ก็เอาของขลังมัดเขาไว้ก่อน เมื่อเขาแข็งแรงกลายเป็นผู้ใหญ่(เป็นคนมีความรู้แล้ว)ค่อยสอนธรรมะต่อไปฯ
คนที่ไม่คิดอะไรมากอาจเห็นด้วยกับความคิดนี้ไปเลย เพราะถือว่ามีเหตุมีผลและเป็นปรัชญาของปัญญาชน ผู้เขียนอยากให้คิดนิดหนึ่งนั่นคือ เราเคยเห็นท่านเหล่านั้นสอนธรรมะคนบ้างหรือไม่? ธรรมะในที่นี้หมายถึงหลักการของพระศาสนานะครับ ไม่ใช่ออกเทศน์แหล่ หาเงิน หรือเรี่ยไรทำบุญ เพื่อสร้างวัตถุฯลฯ นั่นคือเท่าที่สังเกตมา คำพูดนี้เป็นเพียงข้ออ้างของการไม่ต้องสอนธรรมะนั่นเอง ถามว่าไฉนจึงไม่สอน? ตอบแบบอันธพาล(อย่างจริงใจ)เลยว่าได้เงินช้าเกินไป เปรียบเทียบง่ายๆนะครับ ระหว่างการสอนว่า “ความชั่วจะหมดไปได้ก็ต้องรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฝึกฝนแผ่เมตตา ไม่ทำร้ายผู้อื่น แสวงหาความรู้ที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตฯ” กับการบอกว่า “โยมมานอนในโลงนี้ เดี๋ยวอาตมาจะบังสุกุลตายให้ บาปกรรมหายหมดเลย” อันไหนจะทำง่ายกว่าและได้รับเงินเร็วกว่า? โดยไม่ต้องถามเรื่องความถูกต้องหรือความเป็นไปได้สำหรับคนไทย เพราะคนไทยเป็นชาวพุทธที่ฉลาดอยู่แล้ว จึงไม่ชอบคิดอะไรให้เปลืองสมอง (หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณาได้เขียนเป็นทำนองเสียดสีไว้ว่า สมองของคนในโลกนี้หากมีคนต้องการผ่าตัดเปลี่ยนสมองแล้วเอามาประมูลราคากัน สมองคนยิวจะถูกที่สุด และสมองคนไทยจะแพงที่สุด...เหตุผลคือคนยิวใช้งานสมองจนหนัก คล้ายกำลังจะพัง แต่สมองคนไทยยังใหม่เอี่ยม ไม่เคยใช้งานอะไรเลย?)
ความจริงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหากจะกล่าวว่าคนเราสติปัญญาต่างกัน เพราะพระพุทธเจ้าเองก็แบ่งคนออกเป็น ๔ จำพวก[7] พวกแรกฟังแต่หลักการเท่านั้นก็เข้าใจกระจ่าง พวกที่สองต้องฟังคำอธิบายด้วย พวกที่สามฟังคำอธิบายแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ต้องฟังหลายๆรอบหรืออาศัยคนอื่นมาอธิบายเพิ่ม ต่อมาก็เกิดเข้าใจได้ ส่วนคนประเภทสุดท้ายคือทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ บางทีสิ่งที่พระพุทธเจ้านำมาเป็นตัววัดไม่ได้หมายถึงความรู้อย่างเดียว เพราะพวกนักปราชญ์นอกรีตสมัยพุทธกาลมีความรู้มากก็มี แต่ก็ไม่ยอมละมานะตนในการทำความเข้าใจพุทธศาสนา คนเหล่านี้ก็ยังถูกจัดเป็นพวกสุดท้ายคือไม่ได้อะไรจากพุทธศาสนา ตกลงพระองค์อาจไม่ได้วัดกันที่ ความรู้ หรือ IQ ดังที่เราเข้าใจ แต่รวมเอาอินทรีย์ทุกอย่าง ตั้งแต่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา  อย่างไรก็ตามอีกที่หนึ่งพระองค์ก็แบ่งคนออกเป็น ๓ เท่านั้น คือตัดจำพวกท้ายสุดออก นั่นคือ
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริกที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้,บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ, บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว[8].
          แน่นอนว่าการตัดบัวชนิดสุดท้ายที่เรียกว่า “เต่าถุย” ทิ้งไปไม่ได้กล่าวถึง ไม่ได้หมายความว่าพระองค์บอกว่าทุกคนฉลาดหรือจะบรรลุธรรมในชาตินี้ได้หมด แต่หมายความว่า แม้บางคนจะไม่บรรลุธรรมได้ก็สามารถพัฒนาตนเองให้สูงขึ้นไปได้ จึงไม่มีบัวชนิดตายในโคลนตมปรากฏในภาษิตนี้  ถามว่าถ้าเช่นนั้นการเปรียบเทียบของพระองค์ที่แบ่งเป็น ๔ เหล่ากับ ๓ เหล่าก็ขัดแย้งกันสิ? ตอบว่า ไม่ใช่ บัวสี่เหล่าหมายเอาการบรรลุธรรม(บางคนก็ไม่มีสิทธิในชาตินี้เพราะอินทรีย์อ่อน) ส่วนบัวสามเหล่าหมายถึงการพัฒนาชีวิตในระดับต่างๆที่ทุกคนมีสิทธิฯ
          คราวนี้ก็กลับมาที่พระเครื่องของเรา นั่นคือหลายคนชอบใช้ของขลังแจกจ่ายชาวบ้านแล้วอ้างว่าเดี๋ยวต่อไปก็จะสอนธรรม ผู้เขียนก็คงต้องขอตั้งคำถามเดิมว่า มีใครบ้างที่มาเดือนก่อนรับของขลังไป เดือนต่อมาเกิดสติปัญญาต้องการสาระธรรม? ความจริงอยากให้ผู้อ่านไปดูวีดีโอเรื่อง “วันออกพรรษา” ที่ผู้เขียนได้จัดทำไว้ เป็นการบรรยายให้เห็นความต่างระหว่างของขลังกับธรรมะอย่างละเอียด นั่นคือเราไม่สามารถเอาของขลังมาเป็นเครื่องปูพื้นให้แก่คนทั่วไปได้ด้วยหวังว่าเขาจะโตขึ้นแล้วหันมาสนใจธรรมะ เพราะสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน กล่าวคือพระเครื่องหรือของขลังเป็นตัวปิดปัญญาทำให้คนหลง ส่วนธรรมะเป็นตัวเปิดดวงตารับทราบความจริง ทำให้คนมีปัญญาฯ  บางคนอาจแย้งว่าหากรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ก็สามารถทำให้สังคมดีขึ้นได้เช่นให้พระเครื่องแล้วมีข้อเรียกร้องทางศีลธรรม เช่น รับพระไปแล้วต้องมีศีล ๕ ช่วยเหลือผู้อื่นฯลฯ อันนี้ก็ใช่แต่ต้องยอมรับว่าอย่างไรเสียก็เป็นการหลอกเขาอยู่ดี นั่นคือเขาเป็นคนดีเพราะความเชื่อบางอย่าง ไม่ได้มาจากเจตนาที่บริสุทธิ์ ผู้เขียนอยากเสนอว่าหากคนที่เราให้พระเครื่องไปแล้วเขาเชื่อฟังเราดีเช่นนั้นคือมีศีล ๕ เป็นต้นจริง การที่เราจะสอนธรรมะเขาตรงๆไปเลยเขาก็น่าจะเชื่อและปฏิบัติตามได้ไม่ยากฯ แต่ที่ปรากฎในสังคมคือคนที่ติดของขลังกลับติดนักเข้าทุกที ทุ่มเงินเป็นแสนเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา บ้างที่เลิกได้เพราะเห็นว่าไร้สาระ ไม่ขลังจริง แต่ก็เลิกศรัทธาพระศาสนาไปแล้ว เพราะเข้าใจว่าตนเองถูกพระหลอกมาตลอดชีวิตฯลฯ
ธรรมะต่างหากที่ใช้ปลอบโยน
          พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้รูปตัวเองมาแจกเพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือดึงคนที่ยังไม่มีปัญญา สิ่งที่พระองค์ใช้ก็คือธรรมะนั่นเอง นั่นคือคนที่อินทรีย์อ่อนอยู่(ยังไม่พร้อมจะฟังสาระธรรมะที่ลึก)พระองค์ก็ตรัสสอนด้วยธรรมง่ายๆ เช่น ทาน ศีล สวรรค์ เมื่อเริ่มเข้าที่แล้วก็ยัดต่อด้วย โทษของกาม และผลจากการออกจากกาม ทั้งหมดนี้เรียกว่าอนุบุพพีกถานั่นเอง[9]
ผู้เขียนใคร่จะขออธิบายธรรมะเหล่านั้นโดยย่อดังนี้
๑.ทาน  ความจริงทานมีความหมายที่ลึกซึ่งมาก ท่านพุทธทาสแสดงไว้ครั้งหนึ่งว่า ทานสามารถทำให้คนถึงนิพพานได้ และทานนั้นก็หมายเอาการสลัดกิเลส(ปฏินิสสัคคะ)หรือปล่อยวางนั่นเอง แน่นอนว่าในที่นี้พระพุทธเจ้าอาจตรัสเพียงนัยยะง่ายๆ ที่หมายถึงการเสียสละสิ่งของทั่วไปธรรมดา (เพราะท่านยสะเป็นต้นที่ฟังอนุบุพพีกถานี้ยังเป็นผู้ใหม่อยู่ คือไม่ได้มีความรู้เรื่องศาสนาลึกซึ้ง)การเสียสละนั้นมุ่งเพื่อกำจัดความโลภของตน นั่นคือคนที่ไม่ยอมให้อะไรใคร คิดแต่จะเอาจากผู้อื่นอย่างเดียวย่อมอยู่ไม่เป็นสุข ส่วนคนที่รู้จักแบ่งปัน ผู้รับอาจเป็นคนรอบข้าง เพื่อนบ้าน หรือนักบวชก็ได้ ผลที่จะได้จากการให้ทานทางโลกิยะนั้นคือทำให้เป็นคนมีทรัพย์ เป็นที่รักของผู้อื่น ด้วยตนเป็นคนชอบเสียสละไม่ขี้เหนียว เมื่อยามตกยากก็มีคนช่วยค้ำชูฯลฯ ในทางสังคมคือเพื่อนมนุษย์จะไม่ลำบากหากทุกคนรู้จักให้ทานฯ ส่วนแง่โลกุตตระคือชำระความตระหนี่ หวงแหนไปได้เรื่อยๆจนสุดท้ายสามารถสละได้ทุกอย่าง จนไม่มีความยึดมั่นฯ
๒. ศีล หมายถึงการดูแลตรวจสอบพฤติกรรมตนเองทางร่างกายและวาจา ไม่ว่ากล่าวทำร้ายใคร โดยทั่วไปอาจรักษาศีล ๕ (เป็นที่ทราบกันดีจึงไม่ขอลงรายละเอียด แต่ข้อสุดท้ายน่าจะกล่าวถึงคือ) ข้อที่ ๕ เป็นการเว้นจากการดื่มเครื่องดอง ของเมา ที่ทำให้ขาดสติ โดยศัพท์สุรา หมายถึง ความกล้าหาญ (เช่น ท้าวสุรนารี) นั่นคือ เมื่อดื่มไปแล้วสามารถทำให้คนขาดสติและทำในสิ่งที่ตนไม่กล้าทำมาก่อนได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทำนองทางลบ หลายคนมองไม่เห็นโทษข้อนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นทั้งหลาย อาจกล่าวอย่างที่เราเคยได้ยินกันมาแล้วว่า จะนำไปสู่หายนะต่างๆได้ เช่นทะเลาะกัน หรือมีความสัมพันธ์ทางเพศจนเกิดโรคหรือตั้งครรภ์แบบไม่พึงประสงค์ วัยรุ่นทั้งหลายก็อาจจะแก้ตัวได้ว่า ตนเองดื่มอยู่ที่บ้านไม่ได้ทะเลาะกับใคร หรือหญิงสาวก็จะบอกว่าแม้มีเพศสัมพันธ์ตนเองก็มีวิธีป้องกันโรคหรือคุมกำเนิด(กระทั้งทำแท้ง)เป็นต้น เหตุผลที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายในปัจจุบันใช้จึงไม่ได้ผล หลายคนเลยตัดสินใจไปร่วมวงกับลูกเลยฯ
โทษของสุรา(ของมึนเมา)
          ความจริงสุรา(ของมึนเมาและยาเสพติด)มิได้มีโทษแค่นั้น ที่เห็นชัดคือเกิดโรคแก่ร่างกายเป็นต้น ผู้เขียนไม่อยากนำสิ่งเหล่านี้มาพรรณาอีก เพราะคิดว่าหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วแต่ก็ยังเสพกันอยู่เป็นอาจิณ จึงเป็นเหมือนเหตุผลด้านยาไป สิ่งที่อยากให้คิดคือสังเกตดูว่าสุราเป็นของเสพสุขสำหรับคนไร้ปัญญา แลคนที่ไม่ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าคนที่ทำประโยชน์เพื่อสังคมแล้วติดสุราก็มีไม่ใช่หรือ? ตอบว่าเขาไม่ได้ทำเพื่อสังคมโดยตรง เป็นแต่เพียงสิ่งพลอยได้เท่านั้น เป้าหมายหลักคือเพื่อให้ตนเองได้มีเงิน เกียรติ ชื่อเสียง เพื่อนฝูงเป็นต้น หลายคนก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นั่นก็เหมือนกันอีก คือไม่ได้มุ่งทำประโยชน์ให้ส่วนรวม หวังเพื่อความร่ำรวยของตนเท่านั้น แต่คนที่มีปัญญาและสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นให้สังเกตว่าเขาจะไม่มีเวลาไปสังสรรค์เรื่องเหล่านี้ อีกทั้งเพื่อนผองก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน เช่นนักวิชาการ นักปรัชญาทั้งหลาย หนุ่มสาวที่มีความรู้ได้รับการศึกษามาอย่างดีก็จะไม่สนใจการเสพสุราเป็นต้น หรือหากมีคนแย้งว่านักศึกษานั่นแหละตัวดี ก็ต้องอธิบายว่าเพราะเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจริง เรียนเพื่อให้ได้ใบปริญญามาหาเงินและความสุขเท่านั้นเอง ส่วนคนที่เป็นนักศึกษาที่แท้เขาจะมีพฤติกรรมต่างจากคนไร้ความรู้และการศึกษาทั้งหลาย ไม่ทำร้ายร่างกายและสติปัญญาตนด้วยของเมาหรือเพียงเพราะต้องการเสพสุขอย่างตกเป็นทาสกามารมณ์โดยไม่สนใจสิ่งดีงาม ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือสังคมก้าวหน้าไปไกล(ในเรื่องเลวร้าย)จนเด็กไม่มีภูมิคุ้มกัน(นั่นเพราะผู้นำทางศาสนาและครูทั้งหลายไม่ยอมให้ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นตัวอย่างแก่เด็กจริงๆ) กลายเป็นว่าสังคมแม้มีนักปราชญ์(ที่คนส่วนใหญ่ยกย่อง)แต่ก็มีเพียงความรู้ หาได้มีความประพฤติที่ดีงามด้วยไม่ (อาจารย์สถิต ไพเราะ กล่าวว่า หากท่านที่มีความรู้มากพูดดี แต่ไม่ยอมทำแม้แต่สิ่งที่ตนพูด ก็อาจบอกได้ว่า ท่านเหล่านั้นปากเป็นปราชญ์แต่ใจเป็นเปรตทั้งสิ้น...) สุราหรือของเมาอย่างอื่นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของการเสพสุขเท่านั้นเอง พุทธศาสนาก็สอนเรื่องความสุข แต่ความสุขในแง่ที่ต้องทำร้ายร่างกายนี้และการสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวผู้อื่นเราไม่เอาด้วย ขณะเดียวกันก็สอนให้มุ่งหาความสุขที่เหนือกว่านั้น เช่นความสุขจากการหาความรู้ (นักปรัชญาก็เป็นคนประเภทนี้ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Philosopher ซึ่งหมายถึงคนรักความรู้นั่นเอง บาลีคือ สิกฺขากามา ก็แปลทำนองเดียวกัน) สำหรับนักศึกษาให้ลองถามตัวเองดูว่า คนเป็นคนรักความรู้เช่นนี้หรือไม่ หากใช่ก็ถือว่าเป็นนักศึกษาแล้วจริงๆ หากยังไม่ใช่ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้อยากหาความรู้ต่างๆได้เช่น อยากมีความรู้เรื่องสันติภาพ เสรีภาพ เพื่อจะได้แก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อยากมีความรู้เรื่องการออกแบบ/ก่อสร้าง จะได้สร้างที่พักที่ดีและถูก(บ้านเอื้ออาทร)ให้กับผู้ยากไร้ อยากมีความรู้เรื่องการแพทย์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นต้น การสร้างแรงบันดาลใจเหล่านี้สำคัญมากสำหรับคนทั่วไป ทำให้เรามีความหวังและมุ่งหาความรู้อย่างเต็มที่เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นฯลฯ นี่เป็นลักษณะของนักศึกษาที่แท้จริง ให้เราสังเกตว่าต่างจากคนที่สักแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโดยสักแต่ให้เรียนจบ แล้วออกไปหาเงิน(จากชาวบ้านที่ตนได้เงินภาษีเขามาสนับสนุมมหาวิทยาลัย) ขณะเรียนก็ไม่ได้มุ่งหาความรู้ แต่มุ่งหาความสุขอย่างอื่นทั้งเรื่องกิน เที่ยว เพศ ฯลฯ เราพอจะนึกภาพออกไหมว่าคนเหล่านี้จะทำให้สังคมร่มเย็นด้วยศีลธรรมและแก้ปัญหาทั้งหลายอย่างฉลาดรอบคอบ(ยั่งยืน)ได้อย่างไร?  
          เรื่องศีลในอนุบุพพีกถาก็คล้ายกับทาน นั่นคือมีผลทั้งต่อตนเองและต่อส่วนรวม อานิสงส์ที่ได้จากการมีศีลคือเป็นที่รักของผู้อื่นเพราะเป็นคนมีเมตตา ไม่ทำร้ายใคร ไม่ล่วงละเมิดทรัพย์สินใคร ไม่ก้าวก่ายหรือทำลายความสัมพันธ์ของครอบครัวผู้ใด ให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น มีสัจจะไม่โกหกหลอกลวงใครและไม่ทำลายลดทอนสติปัญญาตนพร้อมทั้งใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในการหาความรู้อย่างเต็มที่เพื่อสามารถทำตนให้เป็นประโยชน์ได้จริงฯ
          ทั้งสองประการที่กล่าวมาข้างต้นคือ ทานและศีลมีผลรวมอยู่อันที่ ๓ นั่นเองคือ
๓.  สวรรค์ ในที่นี้เป็นผลลัพธ์ของการให้ทานและรักษาศีล(ในระดับทั่วไปคือโลกิยะ) สวรรค์เป็นการได้เสพสุขอย่างเต็มที่ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาให้เหนื่อยเหมือนการเป็นมนุษย์ เช่น เกิดเป็นเทวดามีนางฟ้าแวดล้อม ๕๐๐ ตน จึงไม่น่าเบื่อสำหรับการเสพกาม ไม่มีโรคภัยมาทำให้กายลำบาก อยู่อย่างมีความสุข เมื่อตรัสมาถึงขั้นนี้ก็จะถือเป็นตัวดึงคนที่มีปัญญาน้อยหรือที่เราเรียกว่าเด็กให้อยากทำทานและรักษาศีลได้ดีทีเดียวฯ ให้สังเกตว่านี่เป็นการดึงคนของพระพุทธเจ้าโดยอาศัยธรรมะพื้นๆเพื่อให้เขาได้รับประโยชน์ไปด้วย ฝึกความเมตตา เอื้ออาทรและสติปัญญาขั้นพื้นฐานเพื่อเตรียมสู่ขั้นต่อไป
          พระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดการสอนไว้แค่นี้ ด้วยเหตุผลว่าพระองค์ไม่ได้ต้องการนั่งรับสังฆทาน/ซองปัจจัย รอให้คนมาถวายทานแก่ตนและรักษาศีลเพื่อไปเกิดในสวรรค์เท่านั้น แต่ความปรารถนาดีของพระองค์คืออยากให้เขาไปให้พ้นจากกามหรือความสุขจากการได้เสพวัตถุ(รวมทั้งคน) เรียกว่าอายนตะ โดยชี้ให้เห็นว่าสวรรค์ก็ไม่ยั่งยืน นั่นคือที่เราได้สวรรค์เพราะบุญที่เคยทำ หากบุญหมดก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเช่นเดิมอีก มิหนำซ้ำอาจเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ฯ จึงชี้ให้เห็นโทษของกาม โดยจัดเป็นประเด็นที่ ๔ และประการต่อมาเมื่อผู้ฟังรู้สึกเบื่อสวรรค์คือเห็นว่าไม่ยั่งยืน พระองค์ก็เสนอความสุขอันใหม่คือ
๕. ผลที่ได้รับจากการออกมาจากกาม หมายถึงการที่ตนมีความสุขจากการมีปัญญามองเห็นความจริงของโลกเช่นการเกิดดับของสังขาร จนคลายความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ได้ว่าไม่ควรวิ่งตามหาอะไรอีกต่อไป เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ยั่งยืน เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เมื่อเห็นจริงดังนี้ก็มีความสุขประเภทที่ไม่ต้องสร้างหรือปั้นขึ้นมาเหมือนแต่ก่อน หลายคนอาจมองไม่ออกว่าการไม่ได้เสพสุขจะมีความสุขตรงไหน ท่านเปรียบคนทั่วไปเหมือนกับคนโรคเรื้อน นั่นคือจะมีความสุขมากหากได้เกาที่คัน แม้บางครั้งเลือดออกก็ยอม กล่าวคือชอบวิ่งหาความสุขไปเรื่อยๆ บ้าน รถ แฟน ของกินฯลฯ พอสุขได้สักพักก็อยากได้ใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่พระอรหันต์หรือคนที่ได้รับสุขในข้อที่เรากล่าวถึงอยู่นี้เป็นเหมือนคนที่รักษาโรคเรื้อนหายแล้ว เขามีความสุขอยู่ในตัวเพราะมีสุขภาพดี โดยไม่ต้องไปหาที่เกาให้เลือกออก และความสุขเช่นนี้เองจึงจะเป็นอิสระที่แท้จริงฯ
          ให้สังเกตว่า อนุบุพพีกถาทั้ง ๕ ที่อธิบายมานี้เป็นการสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยไล่ลำดับจากง่ายไปหายาก สุดท้ายพระองค์ก็จบลงด้วยการพ้นทุกข์ ไม่เคยให้พระเครื่องใครหรือทำน้ำมนต์ให้ใครกินเพียงเพื่อหลอกให้เขาติดอยู่กับศาสนาของพระองค์ ทีนี้เราสามารถสรุปได้แล้วว่าพุทธศาสนาแยกช้อนสำหรับเด็กก็จริง แต่ในช้อนเล็กที่ใส่ให้เด็กกินนั้นก็ยังเป็นข้าวหรืออาหารที่มีประโยชน์(ธรรมะสบายๆขั้นพื้นฐาน) หาใช่ใส่สิ่งแปลกปลอมเช่นโลหะเป็นต้นเพื่อทำให้เด็กยิ่งไกลจากความจริงและหลงงมงายหนักขึ้นทุกทีเพียงเพื่อผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่ตนไม่ฯ
 กลับเข้าหาพระพุทธเจ้ากันเถอะ
     ปัจจุบันแม้จะไม่มีพระพุทธเจ้าให้เราเห็นแล้ว แต่ตัวอย่างและคำสอนของพระองค์ก็ถูกจารึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่กระทั่งพระเองก็ไม่ยอมให้ความสำคัญ กลับวิ่งหาหลักคิดที่เลิศหรูหรือหลักปรัชญาเช่นเรื่องช้อนป้อนเด็กดังที่ได้กล่าวมาเป็นต้นเป็นอุดมคติของตน ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าปรัชญาหรือตรรกศาสตร์ไม่ดี สิ่งเหล่านี้จะดีมากหากนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาพระศาสนา ทำให้เรามีเหตุผลและได้รับความจริงมากขึ้น แต่หากเพียงแต่ท่องจำภาษิตที่ไม่ทราบแม้แต่ที่มา(คนพูด)และยึดมั่นว่าถูกต้องที่สุดโดยไม่แสวงหาความจริง(เช่นจากพระไตรปิฎกก่อน)ก็น่าเห็นใจ ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือคนที่มีการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม แต่กลับเห็นแก่ประโยชน์ที่ตนจะได้รับในเรื่องลาภ ยศ เงินทอง มากกว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตากรุณาก็เป็นที่น่าสลดใจฯ
     ตราบใดก็ตามที่เรายังอ้างว่าผู้คนยังไร้สติปัญญาแล้วไม่ยอมสอนธรรมะ(ความจริงในการพัฒนาชีวิต) กลับนำเอาวัตถุมงคล ของขลังเป็นต้นแจกจ่ายเพื่อแลกกับเงิน โดยหลอกให้เขายังติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นว่าจะสามารถบันดาลโน่นนี่ได้ แม้เราจะได้ประโยชน์จากความโง่ของเขาก็จริง แต่เขาจะไม่รู้จักโต พึ่งตนเอง มีความคิด เป็นคนดีและมีสติปัญญาขึ้นมาได้เลย...เอ้ย เขียนเสร็จซะที จะได้ไปขายพระต่อ...มีสายโทรมาไม่ได้รับด้วย...สงสัยคนโทรมาจองพระแน่เลย....อะไรนะ น้ำมนต์หรอ มาตักเอาสิ แล้วใส่เงินไว้ในตู้อนุโมทนาแล้วกัน กี่บาทก็ได้แล้วแต่ศรัทธา แต่ส่วนใหญ่เขาใส่กันไม่ต่ำกว่าร้อยนะจ๊ะฯลฯ
......................................................


[1]   อหญฺเจว  โข  ปน  ธมฺม̊  เทเสยฺย̊  ปเร จ เม  น อาชาเนยฺยุ̊   โส   มมสฺส  กิลมโถ   สา   มมสฺส   วิเหสาติ ฯ อปิสฺสุ  ภควนฺต̊   อิมา  อนจฺฉริยา  คาถาโย ปฏิภ̊สุ  ปุพฺเพ อสฺสุตปุพฺพา.....ข้อที่ ๗ วินัยปิฎก มหาวรรค
[2]  พหุ̊ เว สรณ̊ ยนฺติ  ปพฺพตานิ วนานิ จ  อารามรุกฺขเจตฺยานิ   มนุสฺสา ภยตชฺชิตา  เนต̊ โข สรณ̊ เขม̊   เนต̊ สรณมุตฺตม̊ เนต̊ สรณมาคมฺม  สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ ฯ ขุทฺทกนิกายสฺส ธมฺมปทคาถา ข้อที่ ๑๔
[3] ภาษิตที่ปรากฎในพระคัมภีร์พอจะยืนยันความสำคัญของความหวังได้ดังนี้
Proverbs 10:28 The hope of the righteous will be gladness, But the expectation of the wicked will perish.
1 Corinthians 13:7 bears all things, believes all things, hopes all things, endures all things.
13 And now abide faith, hope, love, these three; but the greatest of these is love.
Titus 3:7 that having been justified by His grace we should become heirs according to the hope of eternal life.
1 Peter 1:3 Blessed be the God and Father of our Lord Jesus Christ, who according to His abundant mercy has begotten us again to a living hope through the resurrection of Jesus Christ from the dead.
[4]  อสฺสทฺโธ อกตญฺญูู จ  สนฺธิจฺเฉโท จ โย นโร  หตาวกาโส วนฺตาโส  ส เว อุตฺตมโปริโส ฯ แปลใจความว่า ผู้ใดเป็นคนไม่มีศรัทธา อกตัญญู ทำลายประตูเข้าไปขโมยของชาวบ้าน เป็นคนด้อยโอกาส อยู่แบบไม่มีความหวัง เขานั้นแหละเป็นคนดีเลิศ การแปลเช่นนี้เป็นการแปลตามตัว ความจริงภาษิตนี้เป็นเหมือนการพูดประชด โดยใช้ศัพท์ที่ร้ายแรงเหมือนที่แปลไป แต่หมายเอาความหมายใหม่ที่ดีงาม คือ คนดีที่สุดต้องเป็นคนไม่เชื่อคนง่าย(อสฺสทฺโท),ต้องเป็นคนรู้จักพระนิพพานที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้เกิดได้อีก(อกตญฺญู), ตัดกรรมที่จะทำให้เวียนว่ายในสงสาร(สนฺธิจฺเฉโท), ไม่มีโอกาสที่จะทุกข์อีก(หตาวกาโส) และเป็นคนไม่มีอาลัยคือยึดติดในทุกสิ่ง(วนฺตาโส)ฯ สุตตันตปิฎก บุททกนิกาย ธรรมบท ข้อที่ ๗ อรหนฺตวคฺโค สตฺตโม
[5] “Shariputra, all dharmas are empty of characteristics. They are not produced. Not destroyed, not defiled, not pure and they neither increase nor demolish. Therefor in emptiness, there is no form, feeling, cognition, formation or consciousness…….” The Heart of Prajnaparamita Sutra, page 1, Buddhist Text Translation Society, USA. 2002
[6] (หลายคนชอบถามว่าท่านสอบได้บาลีประโยคไหน...ความจริงคำว่ามหาเป็นการยกย่องคนเก่งที่อาจใช้กันทั่วไปเสมือนการให้เกียรติ เหมือนท่านมหาโมคคัลลานะ ยังมีอีกศัพท์หนึ่งคือ สิริ หรือ ศรี นี้ก็ใช้ในความหมายยกย่องเช่นกันและมีคนนำมาใช้มาก เราลองถามชาวต่างชาติที่ศึกษาพุทธศาสนาโดยไม่ใช้หนังสือภาษาไทยดูว่า มารดาของเจ้าชายสิทธัตถะชื่ออะไร? คำตอมที่ได้คือ มายา หรือให้ดีกว่านั้นคือ มหามายา บ้านเราให้เกียรติท่านมากจึงใส่ สิริ ไปให้อีกตัวหนึ่ง) ลองดูภาษิตที่มาจากขุททกนิกาย เถรีคาถาของพระนางมหาปชาบดีโคตมีดังนี้ [๔๕๖] “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมแด่พระองค์ ซึ่งทรงช่วยปลดเปลื้องหม่อมฉัน และชนอื่นเป็นอัน มากให้พ้นจากทุกข์ หม่อมฉันกำหนดรู้ทุกข์ทั้งปวงแล้ว เผาตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เหือดแห้งแล้ว ได้เจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว ได้บรรลุนิโรธแล้ว ชนทั้งหลายเป็นมารดา เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นพี่ชายน้องชาย เป็นปู่ย่าตายายกันในชาติก่อน หม่อมฉันไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่ประสบอริยสัจ ๔ จึงได้ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ก็หม่อมฉันได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแล้ว อัตภาพนี้มีในที่สุด ชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่มิได้มี ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวมีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียงกัน การกระทำโลกุตตรธรรมให้ประจักษ์แก่ตนอย่างนี้ เป็นการถวายบังคมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระนางเจ้ามหามายาเทวี (มายา ชนยิ โคตม̊ สังเกตว่าศัพท์บาลีมีเพียง มายา เท่านั้น) ได้ประสูติพระโคดมมา เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ เพราะพระองค์ได้บรรเทากองทุกข์ของชนทั้งหลายผู้อันพยาธิและมรณะทิ่มแทงแล้ว”.
[7] จตฺตาโรเม  ภิกฺขเว  ปุคฺคลา  สนฺโต ส̊วิชฺชมานา โลกสฺมึ กตเม  จตฺตาโร  อุคฺฆฏิตญฺญู  วิปจิตญฺญูเนยฺโย ปทปรโม อิเม โข ภิกฺขเว จตฺตาโร ปุคฺคลา สนฺโต ส̊วิชฺชมานา โลกสฺมินฺติ ฯ อังคุตตรนิกาย จตุกกะนิบาต ข้อ ๑๓๓
[8] เสยฺยถาปิ นาม อุปฺปลินิย̊ วา ปทุมินิย̊ วา ปุณฺฑรีกินิย̊ วา อปฺเปกจฺจานิ อุปฺปลานิ วา ปทุมานิ วา ปุณฺฑรีกานิ วา อุทเก ชาตานิ อุทเก  ̊วฑฺฒานิ  อุทกานุคฺคตานิ อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ   อปฺเปกจฺจานิ...วินัยปิฎก มหาวรรค ข้อที่ ๙
[9]  เอกมนฺต̊   นิสินฺนสฺส   โข   ยสสฺส  กุลปุตฺตสฺส ภควา  อนุปุพฺพิกถ̊   กเถสิ   เสยฺยถีท̊   ทานกถ̊     สีลกถ̊สคฺคกถ̊   กามาน̊   อาทีนว̊   โอการ̊   สงฺกิเลส̊   เนกฺขมฺเม  อานิส̊̊ ปกาเสสิ    ยทา  ภควา  อญฺญาสิ   ยส̊  กุลปุตฺต̊   กลฺลจิตฺต̊ มุทุจิตฺต̊    วินีวรณจิตฺต̊   อุทคฺคจิตฺต̊   ปสนฺนจิตฺต̊   อถ  ยา  พุทฺธาน̊ สามุกฺก̊สิกา  ธมฺมเทสนา  ̊  ปกาเสสิ  ทุกฺข̊  สมุทย̊  นิโรธ̊  มคฺค ̊ฯ วินัยปิฏก มหาวรรค ข้อที่ ๒๖

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น