เรื่องความสำคัญของกัลยาณมิตรในพุทธศาสนา
หลายคนคงคุ้นกับพระสูตรนี้แล้ว เพียงแต่อยากให้อ่านใหม่แบบใช้วิจารณญาณดีๆนะครับ
กระผมจะลองตัดชื่อผู้พูดประโยคนั้นๆออก เพื่อให้เราอ่านด้วยความเป็นกลาง
(เพราะหากเห็นชื่อ อคติที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆจะทำให้เราเข้าข้างเพราะรัก หรือ
ไม่เห็นด้วยเพราะเกลียดชังได้) เป็นบทสนทนาของพระ ๒ ท่าน ขอแทนท่านหนึ่งด้วยอักษร A และอีกท่านเป็น B
ครับ
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๓๘๒ ครั้งนั้น A เข้าไปหา
B แล้วนั่งอยู่
ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
ภิกษุ A
กล่าวว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี
“เป็นคุณกึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์” (หมายถึง การมีเพื่อนดี
เป็นครึ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าถึงจุดสูงสุดของพุทธศาสนา/มีปัญญาละกิเลสได้หมด)
ภิกษุ B
ได้กล่าวว่า เธออย่ากล่าวอย่างนั้น ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี
มีจิตน้อมไปในคนที่ดีนี้ “เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ทีเดียว”
ขออธิบายสั้นๆก่อนว่า A เห็นว่าการบรรลุธรรมจะเกิดได้ ต้องอาศัย ๒ ส่วน
คือ มีเพื่อนดีคอยชี้ทาง (ได้ไปครึ่งหนึ่ง หรือ ๕๐ เปอร์เซน) และอีก ๕๐ ที่เหลือ
อยู่ที่เราจะใช้ปัญญาพิจารณาและนำไปปฏิบัติด้วยกำลังของเราเอง
ข้อนี้ใครก็ทำแทนไม่ได้ กัลยาณมิตรก็เป็นเพียงผู้คอนแนะนำเท่านั้น..............เราเห็นว่า
ท่าน A พูดถูกหรือผิด?
ส่วน B
ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของ A บอกว่า แค่มีเพื่อนดี(กัลยาณมิตร) ก็เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์เลย
(สกลเมว....บาลี) คำกล่าวตรงนี้ ถ้าเอาอีกพระสูตรหนึ่งมาจับ ก็จะเห็นความไม่ลงรอยกันคือ
อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต ข้อ ๓๗๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฐิ ๒ อย่างนี้ ๒
อย่างเป็นไฉน คือ การโฆษณาแต่บุคคลอื่น (การรับฟังมาจากผู้อื่น...ปรโตโฆษะ) ๑และโยนิโสมนสิการ
(การพิจารณาโดยแยบคายด้วยตัวเราเอง) ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฐิ ๒ อย่างนี้แล ฯ
มาถึงตรงนี้พอจะเห็นได้ชัดขึ้นว่า
ใครพูดตรงกับความเป็นจริงมากกว่ากัน ซึ่ง A
เป็นสัญลักษณ์แทนพระอานนท์ (Ananda) และ B
แทนพระพุทธเจ้า(Buddha)
ที่พระอานนท์พูดก็ไม่ได้ผิดและยังตรงกับพระสูตรที่ยกมาเพิ่มเติมด้วยซ้ำ
ส่วนจะว่า พระพุทธเจ้าผิดก็ยังไม่ได้ เพราะพระองค์ยังอธิบายเหตุผลต่อว่า “ภิกษุผู้มีมิตรดี
มีสหายดี มีจิตน้อมไปในคนที่ดี จักเจริญอริยมรรคมีองค์แปด
จักกระทำซึ่งอริยมรรคมีองค์แปดให้มากได้ ฯ” นั่นหมายถึง พระองค์บอกว่า เมื่อได้มิตรดี
จะเป็นเหตุให้ดำเนินตามมรรคมีองค์แปดได้ฯ
ทั้งสองไม่มีใครพูดผิดเลย เพียงแต่พูดกันคนละประเด็น
พระอานนท์พูดในแง่ที่มองเหตุปัจจัยเป็น ๒ ส่วน คือ ปัจจัยภายนอก(สภาพแวดล้อม)
และปัจจัยภายใน(การปฏิบัติของตัวเราเอง) ซึ่งการพูดอย่างนี้ก็ตรงกับความเป็นจริง
และพระพุทธเจ้าเองก็เคยสอน ส่วนพระพุทธเจ้า
ถ้าดูที่พระองค์ตรัสก็ไม่ได้ต่างไปจากพระอานนท์เลย
คือเริ่มจากการมีคนแนะนำในทางที่ดี และนำไปสู่การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ แต่พระองค์ก็ยังปฏิเสธสิ่งที่พระอานนท์พูด(เมื่อปฏิเสธเสร็จก็พูดเหมือนกับพระอานนท์?)
อาจมองได้ว่า พระองค์ทราบดีอยู่แล้วว่าการจะพ้นทุกข์ได้ก็หนีไม่พ้นการปฏิบัติ(หรือ
โยนิโสมนสิการ)ด้วยตนเอง เมื่อเป็นที่รู้กันก็ไม่จำเป็นต้องเน้นอีก จึงมาเน้นปัจจัยตัวแรก
คือ การมีมิตรดีแบบเต็มร้อยไปเลย เพราะอย่างไรเสีย เมื่อมีมิตรดี
การจะดำเนินไปสู่มรรคมีองค์แปดก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ(มีมิตรดีเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์)....
อันนี้กระผมคิดและอธิบายเองนะครับ อาจผิดพลาด แต่ถ้าเป็นเช่นนี้
ก็ยังตั้งคำถามได้อีกว่า คนที่มีมิตรดีแล้ว ชีวิตเขาจะพุ่งไปสู่อริยมรรคมีองค์ ๘
โดยอัตโนมัติทุกคนหรือไม่? การกล่าวเช่นนี้กับการแยกให้เห็นปัจจัยทั้งสองตัวให้ชัดเหมือนพระอานนท์อันไหนจะรอบคอบ
หรือ ถูกต้องมากกว่า?
กระผมไม่ได้ชวนให้เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้านะครับ เพราะฐานะที่เป็นชาวพุทธ
เราไม่ควรเชื่อใครง่ายอยู่แล้ว(กาลามสูตร)
ทุกอย่างต้องสอดรับกับความเป็นจริงและมีเหตุผลก่อนเสมอ และตัวพระสูตรนี้ “หากพูดตามนักปฏิบัติก็ต้องบอกว่า
ไม่มีปัญหาอะไรเลย” เพราะพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า การพ้นทุกข์
อยู่ที่เจริญมรรคมีองค์แปด .... จึงไม่ได้ขัดกับหลักพุทธศาสนา
เพียงแต่เคยเห็นว่า หลายคนที่เชื่อพระพุทธเจ้าแบบสุดใจ
เคยเอาพระสูตรนี้มาโจมตีพระอานนท์ และสาวก ว่าไม่มีความสามารถ เข้าใจหลักธรรมคลาดเคลื่อน
จนพระพุทธเจ้าต้องปฏิเสธและสอนใหม่ฯลฯ
ซึ่งหากเราอ่านพระสูตรนี้ให้กระจ่างก็จะไม่เห็นความขัดแย้ง(ในแง่สาระธรรม)ของทั้ง
๒ ท่านเลย เพียงแต่เหมือนจะเน้นให้เราเชื่อคนมากกว่ามองสาระของความจริง นั่นคือ
คำพูดนั้นมาจากไหน ใครเป็นคนพูดฯ ซึ่งก็เห็นชัดว่า การที่เราเชื่อเช่นนั้น
จะทำให้เรามองคนอื่น(ที่ไม่ใช่ศาสดาเรา)
ผิดเสมอ......ลองพิจารณาดูและแสดงความเห็นได้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น