วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทฤาฎีวิวัฒนาการ กับ ศาสนา



มีคนเคยนำทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดารวิน (Charles Darwin) มาอธิบายศาสตร์ทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยกล่าวถึงการวิวัฒนาการตั้งแต่ความความเรียบง่าย เป็นความซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ (ทำนองเดียวกับสัตว์เซลล์เดียวเป็นต้นมาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกลไกซับซ้อน) ตัวอย่างเช่น ศาสนาสอนเรื่องการแบ่งปัน โดยเน้นให้ใจเกิดเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Generosity) จัดเข้าในหลักการทำบุญของพุทธศาสนาคือ ทาน (เพื่อชำระความตระหนี่)

เมื่อพูดถึงทานตามหลักการข้างต้น ทานจึงเกิดได้ในทุกที่ ทุกเวลา และกับทุกคนที่เขาควรได้รับการช่วยเหลือ การพิจารณาเช่นนี้ จะทำให้ผู้ให้ทานเกิดความฉลาดในการแจกจ่ายทานด้วย เพราะไม่ไปกระจุกอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต่อมา การให้ทาน ได้ถูกทำให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น (ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ?) เมื่อความเชื่อทางศาสนาเข้ามา คนก็มุ่งแบ่งปันเฉพาะหมู่พวกที่มีความเชื่อเดียวกับตน พัฒนาไปเรื่อยจนมีเรื่องอานุภาพของทานแทรกเข้ามา (เช่นสามารถล้างกรรมเก่าได้, เป็นที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าฯลฯ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธศาสนาเองมีผู้แทนคือพระสงฆ์ (ซึ่งถูกมองเป็นคนคอยรับส่งทานให้ผู้ล่วงลับ) การให้ทานก็พัฒนามาผูกขาดกับสังคมสงฆ์มากขึ้น (ถ้านึกจะแบ่งปันหรือถวายทาน คนจะนึกถึงพระสงฆ์ก่อน....ไม่เชื่อลองถามตัวเอง อิอิ) ต่อมาก็ก่อเกิดเป็นพิธีกรรม การให้จะดูธรรมดาไป ก็ต้องมีการทำพิธีถวายแบบเป็นทางการกันสักเล็กน้อย หรือกล่าวคำอธิษฐานเพื่อให้สมความปรารถนา แล้วพัฒนามาจนต่อเติมพิธีการรับศีล การกรวดน้ำฯลฯ... สังเกตว่า ปัจจุบันถ้ามีผู้ไปถวายสังฆทาน แล้วไม่ได้ทำตามพิธีดังกล่าวนี้ จะรู้สึกถึงความไม่สมบูรณ์(เพราะถูกปลูกฝังมา) จนกลายเป็นว่า หลายคน(รวมทั้งพระสงฆ์เอง)อาจลืมเป้าหมายของการให้ทาน หรือ แบ่งปันข้างต้นไปแล้ว มิใช่การให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์เพื่ออนุเคราะห์เพื่อนมนุษย์ แต่เป็นการทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง เช่น สวรรค์ ความร่ำรวย โชคชะตาฯลฯ

ทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ยังอธิบายได้ถึงอะไรอีกหลายอย่าง เช่น การสวดมนต์ แม้กระทั่ง นะโม..... สามารถแบ่งประเภทออกได้อย่างน้อย ๔ แบบ นั่นคือ ชาวบ้านสวดเพื่อเป็นบทเริ่มต้น (ปุพพภาคนมการํ) ใช้นะโม “สาม” คือหยุดสามครั้ง สวดจบหนึ่งรอบก็หยุดหนึ่งครั้ง, พระสวดในงานศพ ใช้นะโม “หนึ่ง” คือสวดรวดเดียวจบโดยไม่ได้หยุด (ให้ไปลองสังเกตดูเวลาร่วมพิธีกรรม) พระเทศน์/แสดงธรรม ใช้นะโม “ห้า” ในสามรอบนั้นหยุดห้าครั้ง และ เจริญพระพุทธมนต์เช่นทำบุญบ้านใช้นะโม “เก้า”

เป็นการยากที่จะบอกว่า ดั้งเดิมจริงๆ ใครเป็นคนแบ่งประเภทของนะโมเหล่านี้ แต่ตอบง่ายๆตามทฤษฎีวิวัฒนาการ คือเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ พระสงฆ์เองอาจเห็นว่าการสวดแต่ละงาน(ใช้คนละบริบท)ควรหาสัญลักษณ์ที่แสดงความแตกต่าง หรือ มองในแง่ลบก็คือ การต้องการผูกขาดความรู้ ทำให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งที่นะโมกี่แบบก็มีความหมายเหมือนกัน และเป็นแต่เพียงสิ่งที่ใช้ประกอบพิธีกรรม มิใช่หลักการ หรือ คำสอนทางพุทธศาสนาเลย การพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้ซับซ้อนขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ทำพิธีจำกัดวงแคบลง (เช่น พระบวชใหม่ไม่สามารถสวดนะโม “เก้า” ได้ หรือ พระที่มีความรู้ในเรื่องธรรมะ หากสวดนะโม “ห้า” ก่อนเทศน์ไม่ได้ก็จะถูกวิจารณ์)

ทฤษฎีวิวัฒนาการยังกล่าวถึง ผู้ที่จะอยู่รอดต่อไป คือผู้ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ในยุคนั้นๆได้ เช่นเสือชีต้าร์ที่วิ่งเร็วเท่านั้นจึงล่าเหยื่อได้ ตัวที่วิ่งช้าจะสูญพันธุ์ไป กวางที่เป็นผู้ถุกล่าก็เช่นเดียวกัน... เมื่อมาเทียบกับศาสนาในปัจจุบัน จะเป็นไปได้หมายว่า คนที่จะอยู่อย่างปกติสุขได้ ก็จะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสังคม (โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม....หรือเหมือนที่บางคนบอกว่า อยู่ในสังคมที่เลวร้าย แต่จิตใจไม่แปดเปื้อน อิอิ ทำได้จริงหรือ?) แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะยึดตามทฤษฎีนี้ ก็ยังไม่หมดความหวัง เพราะทุกอย่างไม่ได้ผูกขาดที่พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมนุษย์จะต้องก้มหน้ารับเท่านั้น แต่มนุษย์ยังสามารถใช้ความรู้และความพยายามในการช่วยกันให้ความรู้และเปลี่ยนแปลง....วิวัฒนาการสังคมไปในทางที่ดีได้ นั่นคือ เมื่อเหตุผล หรือความถูกต้องขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจผิดหรือการเอาเปรียบกันก็จะลดน้อยลงหรือทำให้สูญพันธุ์ไปได้เช่นกัน  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น