วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โล้นซ่าหลอกลวงประชาชน ตอนที่ ๒ พระธรรม

ปกติชาวพุทธชอบแปล “พระธรรม” แบบง่ายและตรงที่สุดคือ “คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” อาจเทียบได้กับศาสนาคริสต์คือ คำสั่งสอนของพระเยซู หรืออิสลามคือของท่านนบีมูอัมหมัดฯ ความจริงการแปลอย่างนี้มิได้มีอะไรผิด แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้แปลไม่ได้สื่อความหมายให้ทราบถึงความแตกต่างเบื้องต้นระหว่างศาสนานั่นเอง บางคนบอกว่า “ไม่จำเป็น ยิ่งเห็นความต่างมากเท่าไร เราก็ยิ่งขัดคอกันมากเท่านั้น แค่เรื่องการเมืองก็เป็นอุทาหรณ์มามากพอแล้ว เพราะฉะนั้นสอนไปเถอะว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี” ประโยคนี้พูดกันจนทำให้เราแยกศาสนาแต่ละศาสนาไม่ออก ขอถามหน่อยว่า ถ้าจะยึดเอาประโยคเช่นนั้นจริงคือทุกศาสนาเหมือนกัน ทำไมคนศาสนาอื่นไม่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธให้หมด (แค่จะไปขอขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติก็ใจหวั่นขวัญเสียกันไปแล้ว) หรือถ้าพูดแบบไม่เข้าข้างตัวเองก็ต้องถามว่า ถ้าเช่นนั้นทำไมพี่โล้นทั้งหลายไม่สึกไปขลิบ....ละครับ? คำตอบง่ายๆซึ่งเป็นตรรกะคือ เพราะแต่ละศาสนาล้วนมีความแตกต่างกันไม่ว่าจะเรื่องความเชื่อ โครงสร้างด้านคำสอน การประกอบพิธีกรรม ตลอดถึงอุดมคติฯ ข้อเสียคือเราพยายามหลีกเลี่ยงการเจรจาหรือเสวนากันมาตลอดเวลาเพราะอาจเกรงเรื่องจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ ความจริงความขัดแย้งเกิดเพราะการไม่ยอมพูดกันต่างหาก เอาแต่ประกอบกิจตามความเชื่อของตนอย่างเดียว นานเข้าก็คิดว่าตนเองเท่านั้นที่ดีเลิศ ส่วนผู้อื่นไร้สาระ เป็นมิจฉาทิฏฐิ พระเจ้าจะไม่มีวันให้อภัยบาปหรืออัลเลาะห์ทรงปิดตาคนเขลาพวกนั้นไว้ฯลฯ ครั้งหนึ่งกระผมเคยร่วมนั่งฟังการสวดพระอภิธรรมในงานศพคุณตาของเพื่อน โดยมีบาทหลวงนั่งอยู่ข้างๆ(ซึ่งครอบครัวนี้หลายคนนับถือคริสตศาสนา) ตอนนั้นกระผมกำลังเรียนพระคัมภีร์ใหม่และมีหลายอย่างที่ยังสงสัยอยู่ จึงชวนท่านพูดเรื่องหลักคำสอนของพระเยซูเพื่อหาคำตอบไปด้วยในตัว แต่ไม่เป็นไปดังที่คิด นั่นคือท่านปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้โดยอาจมาจากเจตนาที่ดีซึ่งท่านให้เหตุผลว่า “ศาสนา การเมืองและเกมส์กีฬาไม่ควรพูดในที่สาธารณะโดยเฉพาะกับคนที่ยังไม่คุ้นเคย เพราะอาจนำไปสู่การทะเลอะโต้เถียงได้” กระผมก็เข้าใจที่ท่านพูดแต่ก็แกล้งแซวกลับไปว่า “ใช่ครับ แต่นั่นมันเป็นวิสัยของคนโง่และเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังความเห็นของคนอื่น ซึ่งสำหรับคนที่มีการศึกษาอย่างพวกเราคงไม่มีใครใจแคบขนาดนั้นจนเป็นเหตุให้ทะเลอะกันมั้งครับ” ปรากฎว่าท่านอึ้งไปนิดหนึ่งแต่ก็พยายามจะไม่พูดเรื่องนั้นอยู่ดี เพียงแต่แนะนำให้มาเปิดดูเว็บไซด์ของท่าน ซึ่งขอเรียนให้ทราบนะครับท่าน ว่ากระผมจำชื่อเว็บไม่ได้ฯ ตัวอย่างที่ยกมาเพียงเพื่อชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันเราไม่มีใจที่เปิดกว้างพอที่จะรับรู้สิ่งใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ขัดกับหลักความเชื่อของเราเอง ทำนองที่ว่า ถ้านักวิชาการคนไหนไม่ใช่แดง เราก็จะไม่ฟังและจะตั้งเจตคติ(Mind set)ไว้ก่อนเลยว่า “มันต้องเข้าข้างสนธิแน่” จึงทำให้เราพลาดที่จะรับรู้ข้อมูลหรือความจริงบางอย่างไป อย่าเพิ่งยัดความเป็นเหลืองให้กระผมนะครับ(มีมากพอแล้ว!) ที่ยกตัวอย่างสีเดียวเพราะจะไม่เป็นการเสียเวลาฯ ความจริงหลักของประชาธิปไตยอันหนึ่งจะใช้ได้ผลดีมากคือการกล้าที่จะพูดแสดงความคิดเห็นและกล้าที่จะรับฟังเพื่อปรับเปลี่ยนการกระทำของตนเอง หากสังคมไม่สามารถสร้างความรู้สึกอยากแสวงหาความรู้หรือการเปิดใจประเภทนี้ได้ ตัวประชาธิปไตยเองก็ขับเคลื่อนไปยากเช่นกัน ทำนองเดียวกับศาสนาหรือหลักความเชื่อที่หากไม่ยอมเปิดใจรับทราบข้อแตกต่าง ยัดทุกอย่างไว้ใต้พรม แล้วปลอบใจกันเองว่า “เราเป็นพี่น้องกัน” ปัญหาจะไม่รู้จักจบเพราะไม่รู้ต้นตอ อย่างน้อยก็จะถามต่อในใจว่า “ใครเป็นพี่ ใครเป็นน้องว่ะ?”


ความหมายที่แท้ของพระธรรม
     คราวนี้เราอาจกลับมาดูคำแปล “พระธรรม” ใหม่เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้กับพุทธศาสนานั่นคือ “สภาพที่ทรงไว้” มาจาก ธา ธาตุ(หรือ Root ในภาษาบาลี)หลายคนงงกับความหมายนี้ นั่นคือสภาวะที่มีคุณสมบัติในตัวเองนั่นคือเป็นไปตามกฎของธรรมชาติเช่น ชีวิตคือธรรมะ หมายความว่า ชีวิตจะต้องเป็นไปตามลักษณะของธรรมชาติ คือสภาพไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและไม่ขึ้นกับอำนาจความอยากของเรา...อาจยังงงอยู่ สภาพทั้งสามที่กล่าวถึงคือ กฎไตรลักษณ์นั่นเอง แล้วมาดูตัวอย่างง่ายๆคือ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงเพราะต้องเปลี่ยนแปลง เกิดดับอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น เซลล์ในร่างกายมีการเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ร่างกายต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือล้มป่วย ความหนุ่มสาวเกิดเพราะเซลล์เกิดมากกว่าตาย ส่วนการแก่และตายเป็นเพราะเซลล์ตายมากกว่าเซลล์เกิด เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกฎธรรมชาติ (คือ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป)[1] และเหตุปัจจัย ไม่ได้เป็นไปตามใจปรารถนาของตนเช่น ไม่อยากให้แก่ก็ต้องแก่ ไม่อยากให้ตายก็ตาย ในทำนองที่ใกล้ตัวมากๆเช่น มีหูแต่ไม่อยากได้ยินเสียงก็ไม่ได้ มีตาไม่อยากเห็นก็ไม่ได้(หมายถึงที่ยังไม่หนวกและบอด) เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดโดยอาศัยเหตุ-ปัจจัยทั้งสิ้น สภาวะเช่นนี้เองที่เรียกว่า “ธรรม”


เข้าใจกฎอย่างเดียว ก็ควบคุมผลที่จะให้เกิดได้
     อธิบายเพิ่มนิดหนึ่ง เผื่อมีคนแอบเถียงในใจ(โดยไม่กล้าแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยดังที่กล่าว) นั่นคือทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามใจปรารถนา แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เรียกว่า อนัตตาฯ เราอาจถามว่า ก็เราบังคับได้มิใช่หรือว่า จะไม่ให้ป่วยโดยการสร้างสุภาพที่ดีออกกำลังกาย หรือไม่ให้ตาย(เร็วเกินไป) โดยความไม่ประมาท? นี่เป็นความจริงมาก แต่การรู้จักระวังเหตุ ควบคุมปัจจัยแวดล้อมคือสภาพภายนอกนั่นแหละเป็นการจัดสรรกฎของธรรมชาติ โดยกฎนั้นจะส่งผลดีต่อเราฯ คือเราไม่สามารถบังคับหรือดลบันดาลให้เราสุขภาพดีได้ด้วยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเราเข้าใจกฎ (เช่นกลากเกลื้อนเกิดจากเสื้อผ้า/ร่างกายที่สกปรก)เราก็สามารถใช้ความรู้นั้นมากำหนดชีวิตของเราไม่ให้เป็นกลากหรือเกลื้อนได้ด้วยการหมั่นอาบน้ำและซักเสื้อผ้าฯ สรุปก็คือทุกอย่างมิได้เป็นไปตามใจนึก แต่เป็นไปตามกฎของเหตุและปัจจัย สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดคือการทำเหตุให้ดีเพื่อจะได้รับผลที่ต้องการ(ซึ่งผลก็ต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติอยู่นั่นเอง มิได้เป็นไปตามความอยากของเรา) คือหากเราต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือขัดกับหลักธรรมชาติ เช่นอยากเกิดแต่ไม่อยากตาย อยากได้แต่ไม่อยากพรากฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปไม่ได้เลยเพระแย้งต่อสภาพความเป็นจริง ดังตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสิ่งที่ปรารถนาแล้วย่อมไม่ประสบดังหวังว่า
    ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย ข้อนั้น สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์...ทำนองเดียวกับความแก่ เจ็บ ตายฯ[2]


อีพ่อกับอีแม่...ใครมีบุญคุณมากกว่า?
เราอาจย้อนกลับมาดูพี่น้องเราเองที่ต้องทนทุกข์กับเรื่องเหล่านี้มาทั้งชีวิต ไม่อยากประสบกับความแก่ เจ็บ ตาย เราอาจนึกว่าทุกคนล้วนไม่ปฏิเสธการเกิด อาจเพราะไม่เห็นว่าการเกิดจะทรมาน(ตนเอง)ตรงไหน แน่นอนว่าการเกิดทรมารผู้อื่นอยู่แล้วคืออย่างน้อยก็มารดา เหมือนตัวอย่างที่ชอบยกกันจนซ้ำซากที่ว่า “วันเกิดลูก นั้นคล้าย วันตายแม่” แม้กระผมเองก็เคยซึ่งใจกับบทนี้มาก่อน แต่พอนานเข้า ฟังแล้วรู้สึกน้ำเน่า มิใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลย อย่างน้อยก็พอจะทำให้เด็กที่เข้าอบรมคุณธรรมในวัด หรือจัดงานวันแม่ในโรงเรียนร้องไห้ได้ จะได้เป็นตัวยืนยันว่าท่านวิทยากรมีความสามารถ(ในการโน้มน้าวใจเด็ก ซึ่งครูไม่เคยทำได้)โดยมิได้ตามไปดูเลยว่าหลังจากเสร็จกิจกรรมนั้นแล้ว เด็กบางกลุ่มก็ไปเสพยา ซดน้ำกระท่อมบ้านเพื่อนต่อ บ้างก็มีนัดไปบ้านแฟน(เพื่อประกอบกิจในการสร้างลูก...ซึ่งจะได้ใช้เป็นเหตุผลอ้างกับอนุชนรุ่นต่อไปว่า “วันเกิดลูก นั้นคล้าย วันตายแม่” เหมือนกันนะจ๊ะ) ผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่ากระผมมองโลกในแง่ลบเกินไปนะ จริงว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีเซ็กซ์เพราะกามารมณ์ก็มีอยู่(แม้จะไม่เคยพบเห็นก็ตาม) แต่มีเซ็กซ์เพราะต้องการสร้างมนุษย์และอบรมเขาให้บริบูรณ์ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อข้ามพ้นสังสารวัฏและพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ด้วย...พูดให้เว่อไปกว่านั้นคือจะอบรมคุณธรรมในจิตใจเขาเพื่อจะได้เป็นพระโพธิสัตว์ รอเข้านิรวาณเป็นคนสุดท้ายฯ อยากอ้วกแตก! เพราะเรื่องราวเหล่านี้กระผมได้พบเจอมาโดยตรง(ไม่ได้หมายความว่าเป็นหนึ่งในนักเรียนพวกนั้นนะ แต่เพราะนักเรียนวัยรุ่นติดยาเล่าให้ฟังกันเกลื่อนในวัด)  ฝรั่งบางพวกถึงกับปฏิเสธแนวคิดนี้จนบอกว่า “พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณอะไร ที่เราเกิดมาเป็นเพราะกามารมณ์ของท่านเท่านั้นเอง และการที่ท่านต้องมาทรมานกับการอุ้มท้องหรือคลอดก็เป็นผลที่ได้จากการแสวงหาความสุขส่วนตัวของท่านฯ” มองผิวเผินประโยคข้างต้นทั้งสองนี้มีมูลความจริงอยู่และมีความเป็นเหตุเป็นผลมาก แต่กระผมอยากให้ทราบ/คิดต่อไปว่า ความจริงการมองทั้งในด้านบวกและลบทั้งสองนั้นเป็นเรื่องสุดโต่งทั้งคู่
เราอาจพูดให้ตลก(หรือตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด)คือ ถ้าเราเป็นพ่อแม่คน เราก็อยากให้ลูกคิดกับเราตามหลักการข้อแรก คือเห็นว่าเป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่มหาศาล แม้จะเอาโลกเป็นปากกา เอานภาเป็นกระดาษฯก็ไม่สามารถจะบรรยายพระคุณของเราได้หมด...อะไรบ้าง? เช่น พ่อติดเหล้า ขี้เกียจไปทำงาน ไปก็กลับค่ำ ใช้เงินฟุ่มเฟือย พอเปิดประตูบ้านก็ต้องเตะแม่ฯลฯลฯ...ส่วนแม่ชอบซื้อหวย ไปบ่อนการพนัน นั่งนินทาชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา งานบ้านไม่สนใจ(บังคับให้หนูทำคนเดียว) และเริ่มบ่นตั้งแต่วินาทีแรกที่พ่อข้ามพ้นประตูเข้ามาฯลฯลฯ อันนี้เป็นแง่ลบนะครับ ความจริงน่าจะเขียนคำเตือนไว้ด้วยว่า บทความนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุน้อยเกินไป(ปัญญาอ่อน ชอบหลอกตัวเอง) เพราะอาจมีการใช้ภาษาในทางทำลายคุณธรรมจริยธรรมที่บ่มเพาะมาอย่างดีงามได้...ให้ดีควรจะได้รับคำแนะนำ(แก้ตัว)จากผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิดฯ เหตุที่เราอยากให้ลูกคิดถึงบุญคุณเพราะเขาจะรักและเคารพเรา อันจะเอื้อกับการอบรมสั่งสอนอีกทีหนึ่งและจะได้ไม่แย่งกันดูแลเราเมื่อแก่ นั่นคือคนพี่ก็แย่งกับคนน้องว่า “แกนั่นแหละต้องเลี้ยงดูพ่อแม่เพราะเป็นคนสุดท้อง” คนน้องก็แย่งกับคนพี่ว่า “พี่นั่นแหละต้องเลี้ยงดูท่านเพราะเป็นคนโต มีอาชีพมั่นคงแล้วฯ” อันนี้ค่อนข้างเป็นแง่ลบของหลักการข้อแรก ทีนี้มาดูแง่ลบของหลักการอันที่สองกันบ้าง
     หากเราเป็นลูก เรามักจะอ้างเหตุผล/หลักการข้อที่สอง(ของฝรั่ง) เพราะต้องการจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่อยากอยู่ในโอวาทใคร แต่หลักการนี้จะเปลี่ยนเป็นข้อแรกทันทีเมื่อเรามีลูกฯ อาจไม่ใช่เพราะความรักเสมอไป แต่เพราะความคิดเห็นแก่ตัว เอาความสนุกหรือความสบายตนเองเป็นหลัก อยากให้ผู้อื่นเชิดชูตนเองโดยที่ตนไม่ต้องการเชิดชูใครคือพยายามคิดในใจอยู่ตลอดว่าตนเป็นบุพการี ลูกที่ดีต้องเป็น “กตัญญูกตเวที” สิฯ การยึดตามหลักการข้อสองนี้ จริงอยู่ว่าเป็นการมองโลกตามเป็นจริงแล้วส่วนหนึ่งคือเราเกิดได้เพราะกามารมณ์ แต่ปฏิเสธคุณูปการอย่างอื่นที่ตามมา เช่นหากท่านไม่รักเราจริงไฉนไม่ไปทำแท้ง?(เพราะเงินทำแท้งไม่กี่หมื่นเทียบแล้วน้อยมากกับเงินที่เลี้ยงเราจนโตและมีการศึกษา) แม่ต้องระวังตัวมากกว่าเดิมเพื่อให้เราที่อยู่ในครรภ์โดยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตราย พ่อซึ่งขณะแม่ตั้งท้องและหลังคลอดก็ต้องทำงานหนักมากกว่าเดิมเพื่อแม่จะได้พักผ่อนและดูแลเราอย่างเต็มที่ ทั้งคู่ต่างคิดชื่อเราไว้แต่ยังไม่เกิดและบ้างก็ทำงานหาเงินฝากในบัญชีให้เรา ซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกไว้รอเช่น ปูพรมที่พื้นเพื่อลูกล้มจะได้ไม่เจ็บ ซื้อกรงใส่หมาตัวดุเพราะมันจะได้ไม่มาทำร้ายลูกเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากความรักทั้งสิ้น เดี๋ยว...พูดไปพูดมา ขอหยุดเช็ดน้ำตาก่อนฯ ตกลงแกก็เป็นหนึ่งในพวกวิทยากรนั้นแน่เลย!
     เรามาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกันดู กระผมไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดแบบใดแบบหนึ่งที่สุดโต่งเพียงอย่างเดียว นั่นคือการหลอกลูกให้ซาบซึ้งบุญคุณพ่อแม่จนตาบอดมองไม่เห็นข้อเสียเลยก็ไม่ดี เพราะลูกจะกลายเป็นทาสที่ต้องฟังทุกอย่างโดยมิอาจจะโต้แย้งได้เลยแม้บิดามารดาเป็นคนโง่เขลา นิสัยเสีย (ด้วยความเชื่อที่ว่า ถกเถียงบุพการีหรือทำให้ท่านน้ำตาร่วงเป็นบาป...ศาสนาไหนเนี่ย?) อีกหลักการหนึ่งก็มองไม่เห็นคุณค่าของบิดามารดาหรือผู้ที่เลี้ยงดูเลย คิดแต่ว่าเมื่อเอาตัวรอดได้แล้วก็บินจากไปไม่ใยดี เราเกิดมาเพราะท่านหน้ามืดฯ การคิดเช่นนี้เป็นความเห็นแก่ตัว ผลักภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูญาติมิตรผู้มีอุปการะคุณ เราอาจใช้คำอาจารย์ส.ศิวรักษ์ให้คำนิยามพฤติกรรมคนประเภทนี้ว่า “บัดซบที่สุด”....ปล.ของอาจารย์ ส.นะครับ กระผมไม่เกี่ยวฯ สรุปก็คือบุญคุณไม่ได้เกิดเพราะเขาเป็นบิดาเราหรือมารดาเรา (ถ้าเช่นนั้นก็จะต้องมาเถียงกันต่ออีกว่า ท่านทั้งสองใครมีคุณมากกว่ากัน?)แต่ในทางพุทธศาสนา(หลักความเป็นจริง) บุญคุณอยู่ที่ว่าใครทำให้เราและทำมากทำน้อยต่างหาก เช่น ขณะที่ถุงยางอนามัยรั่วหรือไม่นั้นยังไม่เกี่ยวกับเรื่องบุญคุณโดยตรงต่อเรา พูดตามหลักอภิธรรมคือจิตของมารดาบิดาในตอนนั้นไม่ได้สหรคตด้วยเมตตาหรือกรุณา แต่เป็นราคะ(ความใคร่ในกาม)ฯ บุญคุณจึงเกิดเมื่อท่านทราบ(ภายหลัง)ว่าเราปฏิสนธิในครรภ์แล้วและเริ่มเกิดความรักในเรา ปรารถนาให้เรามีความสุขสบายไม่ทุกข์ทรมานและที่ชัดเจนกว่านั้นคือการเลี้ยงดูเราเมื่อคลอดออกมาด้วยความกระตือรือร้น หาอาหารให้เรากิน พาเราวิ่งออกกำลังกายและให้ความรู้ด้วยการส่งเข้าโรงเรียนเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นบุญคุณโดยตรงที่ปฏิเสธไม่ได้(ต่อให้เป็นฝรั่งก็ตาม) ส่วนการแบ่งว่าใครมีคุณมากกว่ากัน พุทธศาสนาไม่ได้เอาความเชื่อว่าต้องเป็นเจ้าของอสุจิ หรือโรงงานไข่ แต่เป็นคนที่สละแรงกายและใจดูแลรักษาเราต่างหาก (กรรมวาที) เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพ่อดูแลเรามากกว่า ท่านก็มีบุญคุณมากกว่า หรือหากแม่ดูแลเรามากกว่า ท่านก็มีคุณมากกว่า หรือพูดให้ตรงกว่านั้นหากท่านสักแต่ว่าคลอดทิ้งไว้แล้วให้เราอยู่กับยาย(เหมือนชีวิตของวัลลี)โดยที่ไม่ได้ส่งเงินหรือนมผงมาช่วยเลย ทุกอย่างเป็นภาระของยายหมด ยายก็จะมีบุญคุณกับเรามากกว่าพ่อแม่...ซัดบ่อีหล่า?
   เอาเป็นว่ากลับมาเรื่องพระธรรมต่อฯ สิ่งที่ปรารถนาแล้วไม่มีทางสำเร็จได้คือสิ่งที่ขัดกับกฎของธรรมชาติคือเหตุปัจจัยนั่นเอง กระผมอยากนำเสนอเรื่องหนึ่งของท่านมัฏฐกุณฑลี ก่อนตายเป็นลูกเศรษฐีขี้เหนียว ไม่ยอมทำประกันหรือสละเงินแม้จะรักษาพยาบาลลูก สุดท้ายเมื่อลูกตายก็มัวแต่ร้องไห้คร่ำครวญ มัฏฐกุณฑลีตายไปก็เกิดเป็นเทพบุตรและแปลงร่างเป็นชายหนุ่ม(มาณพ)กลับมาปลอบบิดาโดยแกล้งทำเป็นยืนร้องไห้อยู่ไม่ใกลจากบิดา(แต่เสียงอาจดังกว่า) บิดาจึงมาดูและถามเพื่อทราบความต้องการของเด็กหนุ่มนั้น เมื่อทราบว่าเด็กนั้นต้องการพระจันทร์และพระอาทิตย์มาทำล้อแม็กซ์รถส่วนตัวจึงตอบกลับไปเป็นบทสนทนาดังนี้
“ดูกรมาณพ ท่านเป็นคนโง่ ที่ท่านมาปรารถนาสิ่งที่ไม่ควรปรารถนา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าแม้ท่านจักตาย ก็จักไม่ได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสองเลย”
มาณพกล่าวว่า “แม้การไปและการมาของพระจันทร์และพระอาทิตย์ยังปรากฏอยู่ รัศมีของพระจันทร์และพระอาทิตย์นั้น ยังปรากฏอยู่ในวิถีทั้งสอง ส่วนคนที่ตายล่วงลับไปแล้วย่อมไม่ปรากฏ เราทั้งสองคร่ำครวญอยู่ในที่นี้ ใครจะโง่กว่ากัน”
พราหมณ์กล่าวว่า “ดูกรมาณพ ท่านพูดจริง เราทั้งสองคนผู้คร่ำครวญอยู่ ข้าพเจ้าเองเป็นคนโง่กว่า เพราะข้าพเจ้าอยากได้บุตรที่ตายไปแล้ว...”[3]
     อธิบายเพิ่มนิดหนึ่งเพราะภาษาพระไตรปิฎกเข้าใจยาก นั่นคือเด็กหนุ่มต้องการบอกว่า จริงอยู่ที่ตัวเองโง่เพราะอยากได้พระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนการร้องไห้ของพราหมณ์บิดานั้นโง่คือร้องเพราะลูกตาย เมื่อตายแล้ว เผาทิ้งไปแล้ว การร้องไห้ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกันที่จะทำให้ลูกตื่นขึ้นมา  สรุปคือทั้งสองนี้โง่พอกันกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เด็กหนุ่มต้องการบอกว่าบิดาโง่กว่า เพราะการร้องไห้อยากได้พระอาทิตย์พระจันทร์ของตนนั้นแม้จะได้ยาก(หรือไม่ได้เลย) แต่อย่างน้อยก็ยังเห็นอยู่คือมีพระจันทร์และพระอาทิตย์อยู่จริง แต่การร้องไห้ของบิดาที่อาลัยถึงคนตาย แม้ร่างกายของลูกที่ตายไปแล้วก็ไม่มีให้เห็น เมื่อเป็นเช่นนี้จะเอากลับมาได้อย่างไร?


ธรรมะในทัศนะท่านพุทธทาส
     พระธรรมโกศาจารย์หรือพุทธทาสภิกขุ(ที่ยกชื่อเต็มเพราะเกรงว่านานไปเราจะไม่มีใครทราบสมณศักดิ์ที่แท้จริงของท่านเลย ได้แต่เรียกว่า พุท-ธะ-ทาส หรือบางคนเรียกสั้นกว่านั้นว่า พุด-ทาด แต่ไม่คิดว่าจะเรียกให้สั้นไปกว่านี้ได้อีกแล้ว!)ได้ให้ความหมายของพระธรรมออกเป็น ๔ ประการหลักคือ
๑. พระธรรมคือ(ความเป็นจริงของ)ธรรมชาติ
๒. พระธรรมคือเหตุปัจจัยของธรรมชาติ
๓. พระธรรมคือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ
๔. พระธรรมคือผลที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
ต้องยอมรับความจริงว่า อดีตกระผมเองมีความสับสนกับคำพูดประโยคเหล่านี้มาก และได้ยินคนส่วนใหญ่ชอบพูดกันว่า “พระธรรมคือธรรมชาติ” ทำให้นึกไปถึงขั้นว่า พระธรรมคือน้ำตกหรือ? หรือว่าคือต้นไม้ฯลฯ ที่ยาวไปกว่านั้นคือ “ธรรมะคือหน้าที่-การปฏิบัติธรรมะ คือการปฏิบัติหน้าที่” ก็ทำให้คิดว่า การที่ตำรวจเฝ้าแต่จับหมวกกันน็อกนั้นคือการปฏิบัติธรรมหรือ? พ่อแม่ไปกรีดยางตอนเช้า ท่านกำลังไปปฏิบัติธรรมหรือ? ถ้าให้น่าเกลียดกว่านั้นคือ เห็นหญิงขายบริการใส่ชุดเซ็กนั่งซี่อยู่หน้าร้านนวดฯ พวกหล่อนกำลังเตรียมตัวปฏิบัติธรรมหรือ? ปรากฎว่าความสงสัยเหล่านี้เพิ่งมาหายไป(ไม่ใช่เพราะเป็นอรหันต์นะ แต่เพราะ)เมื่อได้ศึกษาธรรมมากขึ้นฯ กระผมจะเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆนั่นคือธรรมะในความหมายของท่านพุทธทาสทั้ง ๔ ข้อคือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง
๑. พระธรรมคือ(ความเป็นจริงของ)ธรรมชาติ............ทุกข์
๒. พระธรรมคือเหตุปัจจัยของธรรมชาติ........สมุทัย
๓. พระธรรมคือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ......มรรค
๔. พระธรรมคือผลที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ..นิโรธ
อริยสัจ ๔ มีดีอะไร?
     เพื่ออธิบายหลักธรรมของท่านพุทธทาสเทียบกับอริยสัจ ๔ ก็จะขออธิบายควบคู่กันไปเลย อริยสัจ ๔ มีความสำคัญมากจนถึงขั้นต้องพูดว่า หากไม่มีอริยสัจ ๔ ก็ไม่มีศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อทำให้คนพ้นทุกข์โดยเฉพาะด้วยวิธีการรู้ความจริงของธรรมชาติ มิใช่ด้วยอำนาจพระผู้เป็นเจ้า การรู้อริยสัจ ๔ จึงเป็นเพียงการรู้ความจริงของธรรมชาติและสามารถปฏิบัติกับธรรมชาติได้ถูกต้อง ซึ่งเราอาจเทียบกับคนทั่วไปที่ไม่สามารถเข้าใจอริยสัจ ๔ นี้ได้(รวมตัวกระผมด้วย)ทำให้การดำเนินชีวิตเต็มไปด้วยความสุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง เพราะตั่งแต่การตั้งความปรารถนาก็ตั้งผิดจากหลักการของธรรมชาติแล้ว (หากไม่อยากให้ผิดหวังมาก ลองตั้งความปรารถนาใหม่ว่า “อยากให้ตัวเอง อกหักโดนแฟนทิ้งแล้วมันไปคบไอ้เกลอเพื่อนสนิทของเรา เมื่อแก่ก็ไม่มีลูกหลานดูแลแถมถูกไล่ให้ไปนอนข้างเจดีย์ในวัด เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลก็ถูกปฏิบัติไม่ต่างจากโรงฆ่าสัตว์ที่หากรอดกลับมานับว่าโชคดียิ่งกว่าถูกหวย ตายแล้วคนมางานก็ไม่ได้ต้องการทำบุญอุทิศฯแต่จัดงานเพื่อเอาหน้า รับแขก เลี้ยงฉลองกินเหล้า เล่นการพนันกันเป็นต้นสิ แล้วจะทราบว่าตนเองจะสมหวังในอีกไม่ช้าเป็นแน่) ตลอดจนการไม่รู้จักวิธีแก้ปัญหาตรงต้นเงื่อน เช่นอยากได้ความสุขก็มัวแต่วิ่งหาความสุขจากการเสพ ได้วัตถุมาบำรุงบำเรอ จนมองไม่ออกว่าความจริงการรู้จักกิเลสหรือความอยากของตัวเองให้ชัดรวมถึงการพิจารณาวัตถุ/ปัจจัยเป็นแค่สิ่งยังชีพ มิใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตฯ จะเป็นทางออกของการแก้ปัญหาได้ เมื่อมีปัญญามองอะไรให้ทะลุดังนี้แล้วจะสามารถพ้นทุกข์ไปได้เรื่อยๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่าการพ้นทุกข์ก็คือการเข้าใจอริยสัจ ๔ นั่น แล้วอย่ามาพูดว่าตนเองบรรลุแล้วทั้งที่ยังไม่รู้จักอริยสัจหรือไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดเองตามภาษิตด้านล่างนี้ว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ไม่ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เปรียบเหมือนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้กระทำเรือนชั้นล่าง แล้วจักยกเรือนชั้นบนแห่งเรือนยอด ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฉันใด ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่ได้ตรัสรู้ทุกขอริยสัจตามความเป็นจริงแล้ว ฯลฯ ไม่ตรัสรู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาตามความเป็นจริงแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ ดังนี้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.[4]
ดังที่กล่าวว่า อริยสัจ ๔ เป็นหลักการใหญ่ของศาสนาพุทธ เราจะเห็นว่าแม้ธรรมะข้อนี้ข้อเดียวยังสามารถปฏิเสธความเห็นผิดของหลายศาสนาได้เช่น พระเจ้า! (เป็นคำนามนะ ไม่ใช่คำอุทาน) พุทธศาสนามิได้บอกว่า ความสุขและทุกข์ขึ้นอยู่กับพระเจ้า (ความทุกข์เกิดจากการที่พระเจ้าทรงทดลอง....ขอจงอย่านำข้าพเจ้าไปสู่การทดลองฯ...อาเมน[5] และความสุขเกิดจากการตบรางวัลของพระเจ้า) ในทางตรงกันข้าม พุทธศาสนาชี้ว่าความทุกข์หลักเกิดจากความอยากหรือความยึดมั่น เราอาจตั้งคำถามต่อว่า ถ้าเช่นนั้น พุทธศาสนาก็บอกว่าความทุกข์เกิดจากภายในเท่านั้นสิ ไม่เกี่ยวกับโลกภายนอก แล้วการที่เราถูกคนอื่นรุมตี รุมด่า หรือรุมกระทำชำเรา(อย่างเต็มใจ)ละ? คำตอบคือพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องทางโลก เช่นพระองค์ตรัสว่า การเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องภายนอกทั้งสิ้น แต่ปัจจัยภายนอกมีผลน้อยมากนั่นคือจะส่งผลไปยังจิตใจอีกทีหนึ่งคือหากคนไม่รู้จักควบคุมจิตก็จะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จากเหตุการณ์ภายนอกนั้นก็จะส่งผลไปภายในคือเกิดความทุกข์ ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่นต้องเดินกลับบ้านกลางสายฝน(มิใช่กลัวคนเห็นน้ำตานะ แต่เพราะลืมพกร่ม) คนหนึ่งอาจมีความทุกข์มากและบ่นในใจหรือเอ่ยปากไปตลอดทางว่า “ซวยจริงๆ ไอ้ฝนเองซวยเอ้ย...วันหนึ่งมีให้ตกตั้งหลายชั่วโมงไม่ยอมตก มาตกเอาเวลาเราเดินกลับบ้านฯลฯ” บางทีถึงขนาดกลับไปถึงบ้านแล้วยังบ่นให้ลูกเมียฟังอีก จนทุกคนทุกข์กันหมด สร้างความรู้สึกราวกะว่าทั้งครอบครัวเดินผ่าฝนมาด้วยกันมิปาน อันนี้เป็นความทุกข์ของนาย ก ครับ ส่งนาย ข ต้องเดินกลับบ้านในสถานการณ์เดียวกัน(อาจถูกนาย ก เดินแซงไปอย่างรีบเร่ง) ก็เดินต่อไปด้วยรอยยิ้ม คิดในใจว่า “ตนเองปลูกต้นไม้ไว้ไม่ค่อยมีเวลารดน้ำ โชคดีจริงๆที่ฝนตกมาห่าใหญ่” จะเห็นว่าทั้งสองต่างอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแต่มีความสุขทุกข์ต่างกัน เพราะเหตุนี้เองพุทธศาสนาจึงเน้นไปที่ใจเป็นหลัก ดังคาถาธรรมบทข้อแรก(ความจริงไม่อยากยกเลย เพราะโล้นท่านชอบยกหากินเวลาเทศน์จนเราคุ้นหูกันแล้ว แต่ก็ทำงัยได้ ในเมื่อตัวเองก็เป็นโล้นคนหนึ่งและถูกโล้นรุ่นพี่ฝังหัวมาแล้วว่าให้คิดแบบนี้เท่านั้น Paradigm)ว่า
สิ่งทั้งหลายล้วนมีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้เพราะใจฯลฯ หากคนมีใจร้าย การกระทำ คำพูดและความคิดล้วนแสดงออกด้วยความร้าย(ทำให้เกิดความทุกข์/เดือนร้อน) เสมือนล้อเกวียนที่เคลื่อนไปตามรอยเท้าโคผู้กำลังลากแอกอยู่....ทำนองตรงกันข้าม หากมีใจดี(มีปัญญา)ทั้งการกระทำ การพูด การคิดจะส่งผลดีเสมอ เปรียบได้กับเงาที่(เกิด)ติดตามตัวไปฉะนั้นฯ[6]
ขอเสริมนิดหนึ่ง มหายานนิกายหนึ่งคือ โยคาจาร (Yogacara) หรือที่นิยมเรียกกันว่า จิตตมาตรา มีการเน้นเรื่องจิตเป็นสำคัญ กระผมไม่ได้ต้องการเอานิกายหรือหลักปรัชญาของนิกายนี้มาประณาม เพราะความจริงนิกายนี้แม้จะเน้นเรื่องจิต ก็คือจิตเท่านั้นที่เป็นจริง อย่างอื่นไม่มีอยู่นี้(อย่าเพิ่งงงนะครับ) เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่ แต่การศึกษาหลายที่โดยเฉพาะในบ้านของเถรวาท มีไทย พม่า ศรีลังกาเป็นต้นจะเข้าใจหลักการของนิกายนี้ผิดคือโยงไปว่า หากจิตมีตัวตนอยู่จริงจะจัดเข้าในลัทธิอาตมันของพราหมณ์ไปเสีย ทีนี้ก็พากันรุมด่าราวกับจะให้ตกนรกอเวจีไปเลย แล้วเราก็มานั่งเพ่งดวงแก้ว ยกย่องพระหลวงปู่หลวงตาทั้งหลายที่บอกว่า “นิพพานเป็นอัตตา” (มันต่างอะไรกับนิกายนั้นเนี่ย?) กลับมาเรื่องโยคาจารนะครับ นิกายนี้ถือว่าใจสำคัญมากตามภาษิตที่พี่โล้นบอกให้ผมยกไปแล้ว นั่นคือจะสุขหรือทุกข์เกิดที่จิตอย่างเดียวเลย คำสอนจึงสรุปลงมาว่าให้มองทุกอย่างเป็นเพียงมายา (ภาพสะท้อนของจิต เช่นที่เราเห็นสาวงาม...หมายถึงคนนะ ไม่ใช่โรคคางทูม! ที่เราทราบว่าเธอคือสาวงามนั้นเนื่องจากเรามีสัญญาหรือความจำบางอย่างถูกบันทึกไว้แล้วในจิตหรือที่เรียกว่า อาลยวิญญาณ) เพราะฉะนั้นภาพจึงเป็นผลสะท้อนของจิตเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอยู่จริง...ผู้อ่านอย่าถามต่อนะ เพราะกระผมเองก็เริ่มจับประเด็นไม่ค่อยถูกแล้ว...ดังนั้นให้เห็นว่าจิตเท่านั้นที่มีอยู่จริงฯลฯ เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้พี่โล้นก็ออกมาสาดกันเลยว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ สอนเรื่องความเป็นตัวตน สัสสตทิฏฐิ โดยมิได้ศึกษาให้ละเอียดต่อไปว่า ความจริงนิกายนี้มุ่งให้คนเห็นความสำคัญของจิตเป็นสำคัญ อาจเทียบกับเถรวาทตรงเรื่องของจิตตานุปัสสนาหรือการตามสังเกตจิตนั่นเอง เขาไม่ได้บอกว่าจิตเที่ยง แต่เป็นขั้นตอนการดึงคนออกจากโลกของวัตถุ นั่นคือจากที่คนเห็นว่าความทุกข์อยู่ภายนอก การแสวงหาทางดับทุกข์ก็ต้องดับข้างนอกเช่น ออกเดทกับแฟน ไปสยามพาร์ฯ ดูเจ็ดสีคอนเสริต เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่อายตนะนิพพานฯลฯก็จะย้อนกลับมาสังเกตต้นตอของปัญหาที่แท้คือความอยากในใจนั่นเอง เมื่อเขาดึงมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้ปฏิบัติสามารถสละอารมณ์ความใคร่ภายนอกได้ เขาก็จะบอกเช่นกันว่าแม้ใจเองก็ไม่เที่ยงเพราะที่ใจสามารถรับรู้เรื่องต่างๆได้ก็ต้องอาศัยโลกภายนอกเช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มาเป็นตัวล่อก่อน เช่นเสื้อเหลืองเกิดความทุกข์เพราะมีความรู้สึกเกลียดท่านอดีตนายกทักษิณขึ้นมา ให้ทราบว่าความรู้สึกเช่นนั้นมิได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่อาจเป็นเพราะเขาเห็นกล่องลังสี่เหลี่ยม...ทำให้นึกถึงเค้าหน้า หรือได้ยินเสียงเด็กท่องภาษิตว่า “คนรวยแล้วจะไม่โกง” เป็นต้นหรือแม้แต่ความคิดเองซึ่งทุกอย่างนี้เริ่มแรกต้องมีร่างกายหรือขันธ์มารองรับก่อน หากไม่มีร่างกาย ตาก็ไม่มีเป็นต้น แต่น่าเสียดายที่กว่าจะอธิบายถึงขั้นนี้ได้ผู้เข้ามาศึกษาก็รีบปฏิเสธและลาออกไปนานแล้ว แม้กระผมเองสมัยเรียนเรื่องนี้ ยังไม่ทันได้ทราบถึงขั้นอธิบายจิตว่าไม่เที่ยงเลย อาจารย์สอนก็เปลี่ยนไปเรียนเรื่องอื่นโดยทิ้งให้กระผมแอบด่าโยคาจารในใจอยู่หลายปีฯลฯ
     สรุปว่าความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่ความโง่ ไม่เข้าใจความจริงตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดความอยากและยึดมั่นถือมั่นตามมา (ภาษาอริยสัจเรียกว่า ตัณหา) ความอยากนี้แบ่งเป็น ๓ ประเภทใหญ่คือ
๑. อยากในกาม(กามตัณหา) ไม่ได้หมายถึง sex อย่างเดียวแต่รวมเอาการสนองอารมณ์ทั้ง ๖ คือทางตา อยากเห็นรูปที่ชอบ หู อยากฟังเพลงที่ไพเราะเป็นต้น สำหรับการโยงเรื่องภพชาติก็จะบอกว่า ผู้ตาย(หมายถึงกำลังจะ...เพราะถ้าตายก็คิดไม่ได้แล้ว)มีความอยากเกิดในภพที่สามารถสนองกิเลสตัณหาหรือกามเหล่านี้ได้ (ขอย้ำ...ไม่ใช่ sex อย่างเดียวนะ คนสมัยนี้ชอบคิดแต่แง่ลบ!)
๒. อยากในภพหรืออยากเป็น(ภวตัณหา) เช่น อยากเป็นคนสวย ดาวมหาวิทยาลัย เป็นนายก อบต. หรือถ้าเป็นพี่โล้นก็จะเป็นเจ้าคุณ เจ้าคณะตำบล...จนถึงสังฆราช กระผมไม่ได้หมายความว่าการเป็นสิ่งเหล่านี้ไม่ดีนะครับ แต่ท่านต้องเข้าใจว่ามันเป็นขั้นสมมติหรือที่เขาเรียกว่า สวมหัวโขนให้ เพื่อให้ท่านสละเวลาและความสามารถสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคมเท่านั้นเอง แต่หากท่านคิดว่าเป็นเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง เงิน ไฟแช็คพระราชทานเอาไว้จุดตอนเผาศพหรือผลประโยชน์ที่จะตามมาอีกหลายอย่าง โดยอยากเป็นจนประคตเอวสั่น ยอมได้แม้แต่เอาเงิน(ที่ได้จากบังสุกุลศพ)ไปแลก มันเป็นภวตัณหานะครับท่านประธาน และหากมีความปรารถนาเช่นนั้นจริงก็ต้องขออัญเชิญคำพูดของอาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ที่กระผมอธิบายไว้แล้วเรื่อง อีพ่อกับอีแม่...ใครมีบุญคุณมากกว่า? มาสรุปอีกครั้งฯ ความจริงเราสามารถอธิบายเรื่อง ภวตัณหา ในแง่การปฏิบัติได้ด้วยนั่นคือเป็นคนที่ได้สมาธิขั้นสูง ติดในรูปฌาน คือคนประเภทนี้สามารถเข้าสมาธิจนมีความสุขได้โดยไม่ต้องไปกิน KFC หรือเข้า Cineplex ที่ใกล้ตัวกว่านั้นคือไม่มีความสุขกับการนินทาเจ้านาย คณะบดีหรือลงทุนเจาะฝาผนังแอบดูชาวบ้านฯ เขาออกมาได้จากการเสพกาม(ขอย้ำอีกครั้ง...ไม่ใช่แค่ sex) แต่มาติดกับสมาธิที่เอารูปเป็นอารมณ์แทน
๓. ความอยากปฏิเสธที่จะไม่เป็น (วิภวตัณหา) ดูแล้วอาจงงนิดหนึ่ง นั่นคือข้อนี้จะตรงกันข้ามกับข้อที่สอง มิได้หมายความว่าไม่มีความอยาก แต่ข้อที่สองเป็นความอยากที่จะโน้มเข้าหาตัว ข้อนี้เป็นความอยากที่จะผลักไสให้ออกไปจากตัว เช่นไม่อยากให้ร่างกายต้องแก่ รับไม่ได้กับสภาวะที่กำลังจะเกิดขึ้น จนต้องไปทาเล็บ ย้อมผม ดึงหน้าเป็นต้น เพื่อหนีภาวะธรรมชาติ หรือตัวเองเป็นชาวเขา หน้าตาไม่ดี ตัวดำ เมื่อเข้าเมืองก็ไม่อยากให้ผู้อื่นทราบพื้นเพของตน ซื้อครีมมาทา(เพราะเชื่อโฆษณา...รวมทั้งกระผมด้วย!) ใส่ชุดสวยเพื่อเปลี่ยนความสนใจของผู้คนจากหน้าตาไปเป็นเสื้อผ้าหรือสรีระ (บางทีเว่อเกินจนจับได้ว่าบ้านนอกแต้ๆ)หรือหากเป็นคนใต้ พูดทองแดง ก็จะพยายามดัดจนแสบคอ เปลี่ยนคำพูดบางคำจนจากถูกเป็นผิด (เช่นคำว่า นอนหลับแล้วฝัน คนใต้จะออกเสียงเป็น ขวัญ หนูนุ้ยที่เข้าเรียนกรุงเทพฯใหม่ๆมักพยายามเปลี่ยนสำเนียงคำนี้จนสำเร็จ แต่ก็ลืมไปว่ามันมีข้อจำกัด เช่นเมื่อเขาอยากพูดว่า วันเกิดต้องให้ของขวัญ...ซึ่งปกติ สำเนียงทองแดงเขาออกถูกอยู่แล้วก็ยังดัดจริตเป็น ต้องให้ของฝัน) โดยสรุปก็คือตัณหาประเภทนี้เป็นการปฏิเสธบางอย่างที่ตนไม่ประสงค์และใคร่จะหนีให้ห่างไกล เราสามารถอธิบายในแง่ปฏิบัติได้คือคนที่ติดสมาธิขั้นสูงไปอีก นั่นคือไม่เอาทั้งกามและรูปเป็นอารมณ์ คนประเภทนี้หากตายไปขณะจิตเป็นสมาธิก็จะเกิดเป็นอรูปพรหมฯ เรื่องเล่าที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหตุที่ให้ได้สมาธิขั้นนี้คือ ผู้ปฏิบัติเริ่มเห็นโทษของร่างกายหรือขันธ์(ในระดับของภวตัณหาหรือรูปฌาน) เพราะเห็นว่าร่างกายมีความทุกข์ เป็นรังของโรคเป็นต้น หากไม่มีร่างกายเสีย ทุกอย่างก็จบ นั่นคือเมื่อไม่มีตา ก็ไม่ต้องเห็นรูป จะได้ไม่เกิดทุกข์ตามมาฯลฯ เขาจึงปฏิเสธรูปหรือขันธ์ทุกอย่าง ซึ่งก็มีแต่จิตอย่างเดียว โดยความเชื่อที่ว่าจะพ้นทุกข์ได้ ความจริงก็คือยังพลาดอยู่ตรงที่ไม่รู้จักวิธีทำลายกิเลสให้หมดจด แต่หากเกิดเป็นอรูปพรหมแม้ไม่ต้องรับทุกข์ชั่วเวลาหนึ่งก็จริง แต่เมื่อหมดบุญก็ต้องกลับมาเกิดเป็นอย่างอื่นตามสังสารวัฏอีก เพราะกิเลส(ตัวนำไปเกิด)ยังไม่ถูกทำลาย เพียงแต่กดไว้ด้วยอำนาจสมาธิเท่านั้นเองฯ


อยากพ้นทุกข์เป็นตัณหา?
     มีคำถามเกิดขึ้นบ่อยครั้งว่า การอยากปฏิบัติธรรมให้บรรลุพ้นจากสังสารวัฏไปเสีย ไม่อยากกลับมาเกิดเป็นนั่นเป็นนี่อีก นี้จัดเป็นตัณหาหรือความอยากหรือไม่? คำตอบมีสองอย่างคือ สมัยข้าพเจ้าเรียนปริญญาตรี อาจารย์จะตอบว่าเป็น...เพราะเราอยากจะสลัดตน/ผลักไสให้พ้นจากอันใดอันหนึ่งและอยู่เป็น/อยู่อีกภาวะหนึ่ง สังเกตง่ายๆก็คือภวตัณหาและวิภวตัณหานั่นเอง แต่ความอยากนี้มิใช่ไม่มีประโยชน์เลย เราสามารถใช้ความอยากมาละความอยากได้ เช่นพระนันทะที่อยากได้นางฟ้าควงแขนก็ยอมปฏิบัติธรรมจนบรรลุและไม่อยากได้นางฟ้าอีก...บางคนโหดร้ายมาก ใส่ร้ายว่าท่านปฏิบัติไปปฏิบัติมาเกิดกามตายด้าน...ความจริงคือท่านเห็นสุขอย่างอื่น(การพ้นจากกิเลส)ดีกว่ากามเท่านั้นเอง ลึกๆแล้วมิได้มีแต่อาศัยตัณหาเพื่อละตัณหา ยังมีอาศัยความโกรธละความโกรธได้ด้วยเช่น โดนคนอื่นดูถูกว่าโง่ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็พยายามท่องศัพท์ ไปฝึกภาษาต่างประเทศ กลับมาสามารถพูดอังกฤษได้เลย เช่น no need, I talk you tomorrow, I sick not work today, two cola (เป็นสำเนียงมาเลเซีย ต้องการบอกว่า too cool)ฯลฯ เมื่อเก่งอังกฤษตามที่คนไทยยกย่องแล้วก็ไม่มีใครมาดูถูกอีก ความโกรธก็จะหายไปฯ และกระผมก็เชื่อคำตอบนี้มาตลอดจนได้ไปเรียนต่อ ศาสตราจารย์ชาวศรีลังกาอธิบายว่า การอยากปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งความพ้นทุกข์มิได้จัดเป็นตัณหาเพราะเหตุผล ๒ ประการคือ
๑. ตัณหาจะต้องเกิดจากอวิชชา(ความโง่เขลา)แต่การอยากพ้นทุกข์เป็นปัญญา (Craving is motivated by ignorance but the need to be enlightened is motivated by wisdom) เพราะความอยากของตัณหาเป็นการหามาใส่ตัวหรืออยากวิ่งหนีให้ไกลเพราะความไม่ชอบเป็นส่วนตัว แต่การอยากพ้นทุกข์มิใช่การจะหาอะไรมาใส่ตัว(สนองอารมณ์ทางอายตนะ)และไม่ใช่ความไม่ชอบส่วนตัวจึงคิดหนี แต่เพราะเห็นประโยชน์และโทษของสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ตัดสินใจตามข้อเท็จจริง มิใช่อารมณ์ความอยากส่วนตัวฯ
๒. ตัณหาเป็นเหตุนำไปสู่ทุกข์(สมุทัย) แต่การอยากปฏิบัติธรรมนำไปสู่ทางพ้นทุกข์(เป็นมรรค/สัมมาทิฏฐิฯ) เราต้องไม่ลืมว่าพระพุทธเจ้าตรัสตัณหาเพื่อให้เห็นต้นตอของการเกิดทุกข์ และบอกให้ละเสียคือออกให้ห่างไกลจากตัณหาทั้ง ๓ หากจัดการอยากปฏิบัติธรรมเป็นตัณหาด้วย ก็จะต้องละทิ้งการปฏิบัติธรรมไปด้วย (ขอร้อง...อย่าอ้างว่าปฏิบัติโดยไม่ปฏิบัติหรือเรามีโพธิจิตบรรลุธรรรมแล้ว เพียงแต่ปล่อยวางความอยากฯลฯ คำพูดนี้เกลื่อนในนิกายเซน แต่เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ขี้เกียจปฏิบัติเลยเอามาเป็นข้ออ้าง...นิกายเซนที่แท้เขานั่งสมาธิกันตัวเป็นเกลียวเลย) เมื่อไม่มีการปฏิบัติหรือลงมือทำ ผลก็ไม่เกิด แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงสนับสนุนให้พระเร่งความเพียร เข้าไปสู่ป่า โคนไม้หรือเรือนว่าง ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นมรรควิธีสู่ความพ้นทุกข์ครับ มิใช่ตัณหา สรุปว่ากระผมก็เปลี่ยนมายึดคำตอบข้อนี้แล้วครับ อยากให้อาจารย์ปริญญาตรีอ่านตรงนี้จังฯ
ทีนี้เราอาจจะย้อนถามว่า แล้วเรื่องพระนันทะละ การอยากปฏิบัติธรรมของท่านมิใช่ตัณหาหรือ ก็เห็นกันอยู่ซัดๆว่าท่านอยากได้นางฟ้า? ตอบว่าไม่เป็นตัณหาครับ เพราะแรงบันดาลใจในการปฏิบัติของท่านตอนแรกเป็นความอยากได้นางฟ้าจริงๆ แต่หากเป็นเช่นนั้น(ดำรงความอยาก)ตลอดไป ท่านก็จะบรรลุธรรมไม่ได้ ความจริงเราชอบเล่าเรื่องของท่านข้ามไปตอนหนึ่ง นั่นคือท่านจะโดนพระทั้งหลายแซว(ประณาม)ว่าโลภจัด หน้าหม้อ หื่นกาม ปฏิบัติเพื่อให้ได้นางฟ้าฯลฯ เมื่อฟังดังนี้แล้วท่านก็คิดได้ ละอายใจขึ้นมา ปล่อยวางการอยากได้นางฟ้าและมุ่งปฏิบัติเพื่อความบรรลุธรรมเพียวๆต่อไปจนสำเร็จฯ จะเห็นว่าที่สำเร็จมิใช่เพราะความโลภอีกต่อไปแต่เป็นเพราะการเห็นโทษและปล่อยวางได้ฯ จึงสรุปคำตอบนี้ว่า ที่ท่านอยากได้นางฟ้าเป็นตัณหา แต่เมื่อท่านถูกแซวและเปลี่ยนใจมุ่งการปฏิบัติภายหลังจนบรรลุธรรมนั้นมิใช่ตัณหาครับ
     ทั้ง ๓ ประการนี้เป็นต้นเหตุของความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าเน้นมาก หากเราเข้าใจภาวะเหล่านี้แล้วจะสามารถสรุปด้วยตนเองได้เลยว่า มิได้มีพระเจ้ามากำหนด หรือเจ้ากรรมนายเวรที่มีปีกคอยบินประกบตลอดเวลาเหมือนที่โล้นซ่าทั้งหลายสอนให้ไปสเดาะเคราะห์ (เอาถ่านหุงข้าว, ปืนสั้น ๑๑ มม. หรือชาวกาน่าไปบูชาราหูได้ไหมครับ?) นั่นก็คือความทุกข์ที่ตามมามิใช่เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอม พาขโมยมาขึ้นบ้าน หักพวงมาลัยรถให้ชนเสาไฟ ทำให้เกิดภาวะ IMFฯลฯ แต่เป็นเพราะเราโง่ ขาดสติ ปล่อยตัวเองตามใจกิเลส แสวงหาแต่ความสุขภายนอก(หรือหากภายในก็ขั้นสมาธิ) ไม่ยอมพัฒนาปัญญาให้ดำเนินชีวิตตามหลักความถูกต้องต่างหากฯ (ขอทรงอย่านำข้าพระองค์ไปสู่การทดลอง...อาเมน)
ต่อไปจะขออธิบายแบบรวบรัดแล้ว มิเช่นนั้นหนังสือจะหนาเกินไปและยิ่งยกตัวอย่างมาก ยิ่งเสี่ยงกับการดำรงชีพและจะนำไปสู่คดีการขอให้ยุบพรรคได้อีกฯ อริยสัจประการที่ ๓ คือ
นิโรธ เป็นความสุขหรือที่นิยมใช้คำว่าสภาวะปราศจากทุกข์ ข้อนี้มีความสำคัญมากเพราะหากมิเช่นนั้นชีวิตนี้ก็จะหาความสุขไม่ได้เลย อาจเรียกว่าเป็นทางออกของชีวิต พุทธศาสนาจึงบอกว่าเมื่อชีวิตพัฒนาไปถึงขั้นหนึ่ง ผู้ปฏิบัติจะพ้นจากทุกข์ไปทีละขั้น หลายคนโดยเฉพาะฝรั่ง(โง่)ชอบอ้างว่า ศาสนาพุทธสอนให้คนมีความทุกข์ แม้ชีวิตก็บอกว่าเป็นทุกข์ อริยสัจก็ขึ้นต้นด้วยทุกข์ ไม่เหมือนกับศาสนาคริสต์ที่บอกว่าชีวิตมีความสุข พระเยซูสอนเรื่องความรัก การแบ่งปันฯลฯ ล้วนเป็นความสุขทั้งสิ้นฯ ความจริงกระผมไม่อยากมาเสียเวลากับหลักคิดตื้นๆเช่นนี้อีก(เพราะเสียมามากแล้ว) แต่ใจหนึ่งก็เกรงผู้อ่านจะค้างคา จึงขออธิบายสั้นๆว่า พุทธฯสอนเรื่องทุกข์ก็จริง แต่ไม่ได้บอกให้เราเป็นทุกข์ เพราะทุกข์เป็นความจริงตามธรรมชาติ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าต้องบังคับหรือเป็นคนพุทธเล้วเราจะเป็นทุกข์ ลองดูฝรั่งสิ หากถูกเราเตะ จะเป็นทุกข์หรือไม่? ถูกสาวไทยหลอกที่พัทยา ไฟไหม้บ้านเขา ธุระกิจล้มละลาย พ่อแม่เสียฯลฯ เขาไม่ทุกข์หรือ หรือฝรั่งไม่เคยมีน้ำตากลับมีแต่รอยยิ้ม? สิ่งเหล่านี้ครองงำมนุษย์ทุกคนมิใช่แค่ชาวพุทธฯ แต่พระพุทธเจ้าสอนความจริงข้อนี้เพื่อให้เรารู้จักและทำความเข้าใจกับมันเสียเพื่อจะได้มีสติรู้เท่าทันไม่เป็นทุกข์อีกฯ หรือง่ายๆเรื่องนิโรธที่กำลังจะอธิบายก็เป็นความสุข หนึ่งในอริยสัจ ๔ ฝรั่งก็ได้แต่อ่านตัวแรกแล้ววางหนังสือลงโดยไม่ดูตัวถัดไปฯลฯ การกระทำเช่นนี้ต้องเรียกว่า สะเพร่ามาก หรือหากอ่านจนจบแล้วยังไม่เข้าใจก็น่าจะโยงเข้าในพวกปทปรมะ นะครับ! ท่าน K.Sri.Dhammananda โยงเรื่องนี้ไว้ว่า ฝรั่งพยายามบอกว่าเขาไม่มีความทุกข์ แล้วไฉนจึงต้องมีพระผู้มาโปรด(พระเยซูมาช่วยชี้ทางถูกให้) มีการสารภาพบาป ล้างบาปฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นความทุกข์หรือ? ที่ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ชาวคริสต์ต้องการมากที่สุดคือ  Salvation หรือภาวะที่พ้นจากโลกและอุปสรรคทั้งหลาย เป็นการได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนสวรรค์อย่างถาวร พ้นจากความลำบากทั้งหลาย...การต้องการเป้าหมายประเภทนี้มิใช่เพราะชีวิตปัจจุบันเป็นทุกข์หรือ? อธิบายแค่นี้น่าจะพอนะครับ กระผมใคร่จะเป็นศรัตรูกับโล้นซ่าอย่างเดียว ไม่อยากเป็นกับบาทหรือโต๊ะซ่าด้วยฯ แต่ขอปวารณานะครับ หากท่านเห็นว่ากระผมเข้าใจหลักการอะไรผิด จะเชิญโต้วาทีก็ขอรับด้วยความยินดีเป็นยิ่ง (เพียงอย่าส่งกระสุนมาเจรจาก็เป็นพอ!) ของเริ่มลงแล้ว...อธิบายธรรมะเราต่อดีกว่า      นิโรธหรือความสุขในทางพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่มิใช่ได้จากการอ้อนวอนหรือกราบไหว้ใครให้มาดลบันดาล ความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าไม่สามารถกำหนดชะตาความสุขหรือทุกข์ของเราได้ แต่นิโรธนี้ผู้ต้องการได้จะต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่การไปร้องเพลงหรือลอยกระทง แต่เป็นการทำเหตุให้ตรงกับผลที่ต้องการ เช่น อยากให้ไฟที่กำลังไหม้บ้านดับ ก็มิใช่ไปกราบพระพุทธรูป แต่ต้องโทรแจ้งสถานีดับเพลิงคือมือปราบอัคคีมาช่วยและในขณะที่รอตนต้องทำทุกอย่างเช่นใช้ถังรดน้ำไปตามความสามารถ เมื่อแก้ปัญหาดังนี้ ไฟจึงจะดับ(พ้นจากสภาวะทุกข์)หรือคนที่ปวดขา เดินลำบาก สิ่งที่จะทำให้หายมิใช่หวังการอวยพระพรหรือไปหาพระเพื่อรดน้ำมนต์ แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรค จากนั้นก็ดำเนินไปตามมาตรการขั้นต่อไป เช่น ผ่าตัด ฝึกการเดินแบบนุ่มนวล พบนักกายภาพบำบัด นวดทุกสัปดาห์เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้หลายคนคิดว่ากระผมพูดเอาเอง พระพุทธเจ้าต้องไม่ตรัสเรื่องนักกายภาพฯเช่นนี้แน่ อันนี้เป็นความจริงครับ แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องการชี้ให้เห็นถึงสาเหตุและแก้ไปตามสาเหตุของโรคแหละครับ เพราะมิเช่นนั้นนิโรธจะเกิดไม่ได้ พระพุทธเจ้าอธิบายวิธีการแก้ปัญหาออกเป็น ๘ ขั้นตอนที่เรียกว่า มรรค ดังนี้


มรรค หรือมรรคมีองค์ ๘ เป็นแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อก้าวสู่ความพ้นทุกข์หรือได้รับสภาวะสุขตามที่อธิบายในข้อนิโรธนั่นเอง มี ๘ ประการคือ
๑. มีความเห็นตรง(สัมมาทิฏฐิ) เช่นทราบชัดว่าเบาหวานเป็นภาวะของน้ำตาลมาก
๒. มีความคิดตรง (สัมมาสังกัปปะ) เช่น คิดว่าที่ตนเป็นเบาหวานเพราะไม่ควบคุมการทานอาหารฯ
๓. มีวาจาถูกต้อง (สัมมาวาจา) คือพูดตามความจริงเกี่ยวกับโรคและสาเหตุของโรค ไม่ไปกล่าวหาคนอื่นเช่น ตนเป็นเบาหวานเพราะแฟนกลับบ้านดึกหรือโดนของฯ
๔. มีการกระทำถูกต้อง (สัมมากัมมันตะ) หมั่นพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
๕. มีชีวิตความเป็นอยู่ถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ) เมื่อกลับบ้านก็ต้องรู้จักดูแลตัวเอง เลือกรับประทานอาหารตามที่หมอแนะนำฯลฯ
๖. มีความพยายามในทางที่ถูกต้อง (สัมมาวายามะ) การรักษาสุขภาพหรือควบคุมอาหารต้องอาศัยเวลาหรือความพยายามในการกระทำ ไม่ยอมปล่อยให้ตนตกเป็นทาสความอยากในรสอาหารฯ
๗. ระลึก/เตือนตนเองในทางที่ถูกต้อง (สัมมาสติ) พิจารณาเห็นร่างกายว่าเป็นแหล่งของโรค เห็นความเจ็บปวดว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย สิ่งเหล่านี้เป็นกฎธรรมชาติ ไม่ไปทุกข์ร้อนเศร้าใจจนทำให้การงานอย่างอื่นเสีย
๘. ตั่งใจแน่วแน่ในทางที่ชอบ (สัมมาสมาธิ) เมื่อพิจารณาข้อที่ ๗ ได้แล้วจะสามารถดำรงรักษาความสุขต่อไปได้ อารมณ์ไม่ปรวนแปรหวั่นไหวง่ายฯลฯ
     (คำอธิบายนี้เป็น มรรค ๘ ในทางโลกิยะนะครับซึ่งพระพุทธเจ้าเน้นจริงๆคือโลกุตตระเพื่อให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงไปเลย การอธิบายแบบโลกิยะนี้จะเข้าใจชัดกว่าแม้ว่าบางตัวอย่างอาจยกมาเปรียบเทียบยาก เช่นสัมมาสติซึ่งโลกุตตระหมายเอาสติปัฏฐาน ๔ และสัมมาสมาธิที่หมายเอาฌาน ๔)


จะเห็นว่าทั้งหมดที่ยกมานี้แม้เป็นการกล่าวถึงความสามารถของมนุษย์ในการแก้ปัญหาด้วยปัญญาแต่ก็ยังสะท้อนถึงการปฏิเสธลัทธิพระเจ้าไปด้วยในตัว ซึ่งตามที่ได้เกริ่นแล้วแต่ต้นว่า ศาสนาพุทธมิได้บอกว่าไม่มีเทพเจ้าหรือเทวดา หลายครั้งที่พระพุทธเจ้ามีโอกาสแสดงธรรมกับท่านเหล่านั้น แต่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราทราบว่า การเกิดเป็นเทวดาเป็นสิ่งที่เรากำหนดได้ เกิดเป็นพระพรหมหรือพระเจ้าเราก็กำหนดเองได้ด้วยพฤติกรรมการกระทำในปัจจุบัน เช่นผู้ได้ฌานขั้นสูงก็ไปเกิดเป็นพระพรหม คนดีทั่วไปที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นเทวดาได้ แต่พระองค์ตรัสว่าสิ่งเหล่านั้นยังมิได้พ้นจากความทุกข์อย่างถาวร เพราะเราต้องยอมรับว่าความทุกข์มิได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเท่านั้นเช่น สึนามิ น้ำท่วม โลกร้อนหรือรัฐบาลโกงเป็นต้น แม้เกิดเป็นเทพเจ้าก็ยังต้องเป็นทาสกิเลส อยู่ภายใต้ความอยาก เห็นสิ่งที่ตนชอบก็เป็นสุข พบสิ่งที่ตนไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ (จึงต้องมาเที่ยวขู่มนุษย์ว่า ท่านไม่พอพระทัย จะลงโทษอย่างนั้นอย่างนี้...นี่เป็นวิสัยของผู้พ้นทุกข์หรือครับ?)


เราต้องพบกันครึ่งทาง (ตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา?)
คำว่า “พบกันครึ่งทาง” นี้เราอาจได้ยินจนชาหูที่นักวิชาการหรือผู้อาวุโสออกมาแสดงความเห็นและเสนอทางออกให้ผู้ชุมนุมในช่วงต่างๆ โดยเฉพาะสมัยพันธมิตรฯจำพรรษาอยู่ทำเนียบฯเพื่อใช้เป็นตัวเลือกทางออกเรื่องการเมือง กระผมเองได้ฟังแกนนำแต่ละคนพูดเรื่องการปรองดองหรือเจอกันคนละครึ่งทาง หรือแม้กระทั่งเริ่มต้นใหม่ นิรโทษกรรม(ผู้บริสุทธิ์...ถ้าเขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว จะนิรโทษกรรมทำไมว่ะ?)ทำให้พบว่า แกนนำพันธมิตรฯพูดตรงกับหลักการของพุทธศาสนาเรื่องพบกันครึ่งทางนี้มาก...อย่าเพิ่งยัดความเป็นเหลืองให้อีกนะครับ ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้เขาพูดถูก โปรดฟังคำอธิบายก่อน พี่น้องที่รักทั้งหลายฯ
     พันธมิตรฯบอกว่าการพบกันครึ่งทางมิใช่ยกเลิกทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ หรือนิรโทษกรรม(แม้จะนิรโทษกรรมให้พันธมิตรฯเอง) เพราะมิเช่นนั้นความผิดก็ยังคงอยู่ คนผิดก็ยังลอยนวนและพร้อมจะทำความผิดใหม่ได้ตลอดเวลาเพราะทำแล้วไม่ต้องได้รับโทษแต่อย่างใด แม้การบอกว่าให้มาพบกันครึ่งทาง คือต่างฝ่ายต่างยอมถ่อมตัวเข้าหากัน ละทิ้งอุดมการณ์(แม้จะถูกต้อง)เพื่อให้เข้ากับผู้อื่นได้ ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะบรรทัดฐานของสังคมจะเสื่อมลงเรื่อยๆเช่น “นายกโกงเป็นเรื่องธรรมดา ขอให้ประเทศอยู่ได้ก็เป็นพอ” เมื่อเชื่อกันเช่นนี้การคดโกงจะกลายเป็นเรื่องโจ่งแจ้ง ไม่ต้องละอายใครอีกต่อไป และคนที่ไม่โกงจะถูกกล่าวหาว่าโง่ฯ
     สิ่งที่ควรทำคือการยึดความถูกต้อง ตัดสินไปตามข้อเท็จจริง ฝ่ายไหนถูกต้องบอกว่าถูก ผิดต้องบอกว่าผิด (แต่ไม่ใช่ตัดสินเฉพาะคดีเสื้อแดงนะ) และฝ่ายที่ผิดจะต้องได้รับโทษ คนส่วนใหญ่ซึ่งร่วมชุมนุมเรียกว่าผู้บริสุทธิ์ (เพราะถูกหลอกมา)ก็ต้องเข้าใจความจริงและยอมรับการตัดสินไปตามกฎหมาย(ที่ถูกต้องและเป็นธรรม) นี่ต่างหากคือการพบกันครึ่งทาง โดยที่ฝ่ายถูกไม่จำเป็นต้องลดคุณธรรมตัวเองไปหาคนผิดแต่อย่างใดฯ อันนี้เป็นใจความสำคัญเรื่องทางสายกลายหรือพบกันครึ่งทางที่พันธมิตรฯพูดถึง เราจะเห็นว่าคำพูดนี้ถูกต้องมาก(ในแง่ของความเป็นจริงหรือทฤษฎี) ส่วนการจะกล่าวว่าเสื้อแดงหรือเหลืองผิดนั้นให้ดูที่การกระทำอีกทีหนึ่ง...(ได้ข่าวว่ากำลังตรวจสอบอยู่...อดใจรอนิดหนึ่งคงไม่กี่ร้อยปีเป็นแน่)


     ยึดทางสายกลางหรือพบกันครึ่งทางนี้ กระผมได้เข้าใจชัดในแง่ปฏิบัติเมื่อตอนได้ประสบกับตัวเองเมื่อพรรษาล่าสุด นั่นคือกระผมจะแสดงธรรมโดยเน้นให้คนเข้าใจธรรมะเป็นหลัก ไม่สนับสนุนการเรี่ยไรเงินทำบุญหรือยกยอเจ้าภาพเพื่อให้ติดวัดอีกต่อไป แต่ให้พยายามขยับตนจากทานเป็นการรักษาศีลและหาปัญญาเจริญภาวนาออกจากความงมงายฯ สิ่งนี้ส่งผลให้หลายครั้งถูกตัดสิทธิ์ในการเทศน์ ปิดทางทุกอย่างในการพูดในที่สาธารณะ (บางคนแซวว่าหากไม่มีการศึกษาหรือยศเปรียญธรรมค้ำไว้เขาตะเพิดสึกไปแล้ว) แต่ก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง นั่นคือคนที่พอจะมีการศึกษา (ไม่ใช่แค่มานั่งเคี้ยวหมากในวัด เอาหมาแมวมาปล่อยหรือเอาขวดมาตักน้ำมนต์)สามารถเข้าใจสิ่งที่กระผมสื่อและหันมาสนใจพุทธศาสนาจริงๆในทางที่ถูกได้จำนวนหนึ่งฯอาจเรียกได้ว่าเริ่มมีอิทธิพลคนหนึ่ง จนมีอาจารย์เป็นฆราวาสท่านหนึ่งเข้ามาหาถึงที่(คิดว่าพวกโล้นส่งมาเจรจาแน่เลย)แสดงความเคารพนอบน้อมและนั่งพูดอย่างปัญญาชนว่า
“ผมเห็นด้วยกับการกระทำของท่านมหา (มหาหมายถึงตัวกระผม) เพราะท่านพูดในสิ่งที่ถูกและทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราทำจริงๆ พุทธศาสนาเกิดมาก็เพื่อปฏิเสธความงมงาย ชี้ให้ชาวบ้านดำเนินชีวิตถูกทางฯลฯ ปัจจุบันพระท่านไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ท่านมหาทำต่อไปนะ ส่วนผมเอง(หมายถึงอาจารย์ฆราวาส) ต้องทำหน้าที่เหมือนเป็นกรรมการวัดไปด้วย ผมก็ต้องปรับตัวให้อยู่ตรงกลาง คือธรรมะผมก็สนใจ ส่วนเรื่องการหาเงินเรี่ยไรผมก็ต้องทำเพราะวัดกำลังพัฒนา สิ่งที่เราทำมิใช่เพื่อตัวเราเอง ผมไม่เคยได้อะไรจากการสร้างวัด เจ้าอาวาสก็ไม่ได้เป็นเจ้าของวัดที่แท้จริง เราช่วยกันทำเพื่อชุมชน เพื่อศาสนา สมมติเจ้าอาวาสอยากสึกไปท่านก็เอาอะไรไปไม่ได้ฯ ผมจึงอยากให้ท่านมหาเห็นความสำคัญข้อนี้และคิดว่าเราน่าจะมาพบกันครึ่งทางได้ฯลฯ”
     อย่าเพิ่งเคลิบเคล้มหรือหัวเราะกับคำพูดนี้นะครับ ความจริงตอนนั้นกระผมไม่อยากโต้แย้งใดๆเพราะท่านเป็นที่เคารพรักของประชาชนทั่วไป อายุย่างหกสิบนับถือเสมือนปู่คนหนึ่ง จึงพูดกับท่านไปว่า “ครับๆ” แต่แม้กระผมเอง ทุกครั้งที่มานั่งนึกถึงคำพูดนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้(ในกรณีที่อยู่คนเดียว แม้ในขณะที่นั่งพิมพ์อยู่ก็ตาม) ส่วนเวลาที่นึกออกในที่ชุมชนก็จะแค่อมยิ้ม เพราะเดี๋ยวจะโดนกล่าวหาว่าสังกัดวัดศรีธัญญาฯ เอาเป็นว่ากระผมจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆนะครับ ที่สำคัญอย่าคิดว่าชอบนำเรื่องส่วนตัวมาพูด เพียงแต่ต้องการยกตัวอย่างเรื่องทางสายกลางของพุทธศาสนาหรือเจอกันครึ่งทางในทางการเมืองเท่านั้นเองฯ อีกอย่าง...หวังว่าอาจารย์คงได้อ่านนะครับ


     ๑. หน้าที่ของความเป็นพระ พระพุทธเจ้าตั้งสังคมสงฆ์ขึ้นมาเพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาของธุลี (คือชีวิตเปื้อนฝุ่น)ฯ”[7] ต้องหมกมุ่นกับภาระหน้าที่มากมาย ไม่มีเวลาในการแสวงหาปัญญาหรืออบรมคุณธรรม ส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้สบายหรือลำบากน้อยที่สุดและรอวันตายเท่านั้นเอง ชีวิตจึงไม่มีสาระ พระองค์จึงให้มีพระสงฆ์เป็นแบบอย่างในการดำรงชีพ ตัดภาระที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น อาหารเย็น ลูกเมีย ชุดโอมเธียเตอร์คาราโอเกะ บ้านหลังใหญ่ รถยนต์ฯลฯ โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาธรรมะและฝึกฝนจิตใจให้รู้ทันกิเลส เพื่อจะได้พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงและสามารถนำพาชาวบ้านที่โง่เขลาไปสู่ทางของปัญญาและช่วยเขาพัฒนาชีวิตในแง่จริยธรรมหรือกระทั่งการปฏิบัติธรรมได้ กระผมไม่ได้หมายความพระจะต้องทำตัวเหมือนสมัยพุทธกาลทุกอย่าง ห้ามมีเครื่องมือที่ทันสมัยเช่น โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ (เพราะกระผมก็มี...ที่โยมได้รู้ธรรมะบ้างและโล้นซ่าต้องนอนสะดุ้งด้วยเกรงจะถูกกระชากหน้ากากก็เพราะคอมฯเก่าเครื่องนี้แหละ) คือไม่ว่าเราจะมีอะไรก็ตาม ทุกอย่างควรมีเพื่อการพัฒนาตนเองและสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยสรุปก็คือแม้สังคมจะเปลี่ยนไป วิถีชีวิตพระสงฆ์ก็เปลี่ยนไป แต่เราไม่ควรทิ้งอุดมการณ์เดิม นั่นคือเป็นสังคมตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นเพื่อหาความรู้สาระธรรมใส่ตนเองและนำพาสังคมไปในทางที่ถูกต้อง ไม่งมงาย มิใช่ใช้จุดอ่อนของชาวบ้านคือความโง่หรืออยากได้หน้าได้ตามาเป็นเจ้าภาพกฐินฯลฯ โดยมุ่งเนื้อแท้ของธรรมะเป็นหลักมิใช่สร้างวัตถุฯ 


     ๒. ที่บอกว่าธรรมะสำคัญกว่าวัตถุหรืออาคารนั้น มิได้หมายความว่ากระผมปฏิเสธการสร้างวัตถุแบบหัวชนฝา แต่วัตถุควรมีแค่ยังชีพเท่านั้น (พุทธศาสนาเรียกว่า ปัจจัย ๔ ให้สังเกตว่าเป็นแค่ปัจจัย มิใช่เป้าหมาย) เมื่อเป็นเช่นนี้วัดหนึ่งจะมีแค่กุฏิพระหลังเล็กๆ ห้องน้ำและศาลาการเปรียญที่พอจะกันฝนได้ก็น่าจะพอแล้ว เราอาจถามต่อว่าแล้วโบสถ์ละ? ความจริงโบสถ์เราสามารถใช้ศาลาการเปรียญเป็นโบสถ์ก็ได้ หรือเอาตามพระพุทธเจ้าก็หมายถึงที่ที่พระร่วมกันสมมติขึ้นเพื่อทำสังฆกรรมเท่านั้นเอง เช่นเราสามารถเอาก้อนหินไปวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วสมมติลานวัดตรงนั้นเป็นโบสถ์ก็ได้ ให้ดูสวนโมกข์เป็นตัวอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าท่านมุ่งประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก มิใช่มุ่งราคาหรือความสวยหรู การบวชหรือการฟังปาฎิโมกข์ที่ใช้เวลาราว ๑ ชั่วโมงสามารถทำได้ในที่ทั่วไปแค่มีการสมมติไม่จำเป็นต้องราคา ๑๐ ล้าน ซึ่งสร้างเสร็จแล้วมิได้ใช้ประโยชน์เลย ปาฏิโมกข์ก็ไม่ลงฟังฯลฯ แล้วยังหลอกชาวบ้านว่า บุญใหญ่ มหากุศลฯลฯ ที่กล่าวมานี้เหมือนจะตึงเกินไปนะครับ นั่นก็คือวัดที่มีโบสถ์อยู่แล้วก็ไม่ต้องทุบทิ้งหรือที่กำลังจะสร้างก็ดำเนินการต่อไปได้ แต่ให้พอประมาณคือพอใช้สอยได้เท่านั้นเองไม่จำต้องราคาสูง หากท่านคิดว่าก็เรามีเงินเยอะ ชาวบ้านบริจาคไว้หลายร้อยล้านฯ เราก็เอาเงินนี้ไปเป็นทุนการศึกษาเด็กยากจน พิมพ์พระไตรปิฎกให้ชาวบ้านบ้างเพราะเขาเป็นคนพุทธฯที่ไม่เคยเห็นพระไตรปิฎกเลย ทีนี้หากจะกล่าวว่าหน้าที่พระคือการต้องพัฒนาวัดหรือวัดเรากำลังพัฒนา กระผมว่าหากมุ่งเรื่องวัตถุอย่างเดียวถือเป็นการกล่าวผิดหลักการของพุทธศาสนามาก ซึ่งสะท้อนว่าทั้งพระทั้งฆราวาส(รวมถึงอาจารย์ท่านนั้น)มิได้เข้าใจพุทธศาสนาเลย และหากเราเลือกยกย่องพระที่วาดแปลนศาลาเก่ง หาเงินเก่ง เร่ร่อนแสดงธรรมที่นั่นที่นี่ได้เงินมากมายว่าเป็นคนมีความสามารถ(โดยไม่ทำให้คนเข้าใจพุทธธรรมได้) การยกย่องประเภทนี้เป็นเรื่องน่าเวทนามาก จริงอยู่ว่าเรายกย่องท่านเพราะท่านเก่งจริง เช่นท่านเก่งบัญชี จบบริหาร หาเงินได้มากๆ แต่เราต้องไม่ลืมว่าสถานะภาพหรือภาวะของท่านมิใช่นักธุระกิจแต่เป็นพระซึ่งมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง (ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง) หากเราจำไม่ได้ให้กลับไปอ่านข้อ ๑ สรุปก็คือกระผมไม่ได้บอกว่าให้ท่านสึกไปเสีย แต่ท่านน่าจะเตือนใจตัวเองถึงหน้าที่เหล่านี้บ้างและที่สำคัญไม่ควรทำตัวเป็นศรัตรูต่อผู้ที่ตั้งใจสอนธรรมะจริงๆ


     ๓. สร้างวัดไม่ใช่ผลปะโยชน์ของตนเอง? ข้อนี้อาจกล่าวในแง่ลบนะครับ(น่าจะแง่ความเป็นจริงมากกว่า) จริงอยู่ว่าเจ้าอาวาสเมื่อสึกไป จะแบกโบสถ์หรือซุ้มประตูไปก็ไม่ได้ แต่ต้องถามว่าขณะกำลังสร้าง/หาเงินละ ท่านได้ประโยชน์บ้างหรือไม่? ทำไมหลายรูปมีเงินสร้างบ้านใหม่ให้พ่อแม่(แม้จะแสดงถึงความกตัญญู แต่ท่านเอาเงินมาจากไหน? คุณหญิงจารุวรรณจะตรวจสอบบัญชีพระ โล้นก็ออกมาโวยวายกันใหญ่..ในตัวแทนผู้นำทางจิตวิญญาณ...กระผมว่าผู้นำไร้วิญญาณมากกว่า) เอาเป็นว่าที่ยกมาอาจเป็นส่วนน้อย เราจะมองในแง่อนุโลมกันขั้นสูงสุดว่า ท่านมีความบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่เคยเอาเงินวัดเลยแม้แต่สลึงเดียว(เพราะไม่มีเหรียญประเภทนั้น) แต่สิ่งที่ตามมาคือ ท่านได้ผลงานอันจะเอื้อกับการขอเลื่อนยศตำแหน่งได้อีก (พรบ.สงฆ์เรียกว่า ด้านสาธารณูปการ) เพราะหากท่านมาเป็นเจ้าอาวาสแล้วสร้างอะไรไม่ได้เลย การขอขึ้นตำแหน่งก็เป็นอุปสรรคฯ เราลองดู พรบ.สงฆ์อย่างผิวเผินว่าท่านเน้นในเรื่องใด...เพื่อนกระผมหลายคนเสนอว่าควรใช้การสัมภาษณ์ในการเลื่อนยศด้วย เช่นดูว่าท่านสอนชาวบ้านให้เข้าใจธรรมะได้หรือไม่ โดยการสุ่มเลือกชาวบ้านที่สนิทหรือเป็นโยมอุปัฏฐากท่าน มาถามคำถามเช่น ชาวพุทธควรไหว้เทวดาหรือไม่? ศีลมีจุดประสงค์เพื่ออะไร?เป็นต้น หากเขาตอบได้ถูกต้อง ตรงตามหลักการของพุทธศาสนาก็ควรให้เลื่อนตำแหน่ง แต่หากตอบไม่ถูกเลยและสะท้อนความเป็นมิจฉาทิฏฐิอีกก็ไม่ควรให้ ที่ยิ่งกว่านั้นหากทราบว่าท่านเองก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเที่ยวพาญาติโยมปลุกเสกพระ บ้าของขลังฯลฯ ก็ควรสึกท่านเสียด้วยและไม่ต้องให้บวชอีกฯลฯ นี่ต่างหากคือการรักษาพระศาสนา เราอาจมองว่าเป็นแง่ลบเกินไป เพราะท่านที่สร้างเพื่อสอนธรรมะก็มี ประเด็นนั้นยกไว้ครับในกรณีที่เจตนาท่านดีและได้ประโยชน์จริง แต่ก็ต้องไม่ลืมนะครับว่าหลายที่แม้จะสร้างได้ใหญ่โต รับคนได้เป็นพันหรือหมื่นก็ใช้เป็นอุบายหาเงินและหลอกให้ติดอยู่กับการทำบุญหรือมิจฉาทิฏฐิอีกนั่นแหละ กระผมจึงขอยืนยันว่าตั้งแต่พบเจอมา วัดที่ใหญ่โต หรูหรา เป็นแหล่งท่องเที่ยว จะสอนธรรมะอย่างเป็นจริงเป็นจังนั้นยังไม่มี (หมายถึงมีอยู่บ้างเช่นวัดกว้าง ๓๐ ไร่มีพระ ๑๐๐ รูป แต่ก็มีเพียงคณะเดียวคือราว ๕ รูปที่สอนธรรมะได้และไม่ค่อยมีคนรู้จัก)    
     ๔. พบกันครึ่งทาง มาสรุปคำพูดของอาจารย์สักทีนะครับ นั่นคือที่อาจารย์บอกให้เรามาพบกันครึ่งทาง หมายถึง ให้กระผมกลับเข้าไปอยู่ในวัดตามปกติ(อย่ามาเปิดที่ปฏิบัติธรรมและสอนธรรมะอยู่ข้างนอก) เลิกพูดเรื่องธรรมะแต่มาช่วยกันหาเงินบ้างเพราะวัดกำลังพัฒนา เมื่อได้เงินมาแล้วเราก็มาแบ่งสรรปันส่วนให้ตามฐานะมากบ้างน้อยบ้างฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นที่รักของญาติโยม มีผู้ดูแลอุปัฏฐาก และในฐานะที่มีวุฒิการศึกษาอยู่แล้วก็จะหายศตำแหน่งให้และรอเป็นเจ้าอาวาสรูปถัดไป...จะได้สร้างวัดให้เข้มแข็งเป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชนไปตราบชั่วลูกชั่วหลานฯ ฮ่ะๆๆๆๆๆ ไม่ขออธิบายแล้วนะครับ คิดว่าน่าจะตาสว่างกันพอควรฯ  
     สรุปก็คือ ทางสายกลางหรือพบกันครึ่งทางตามหลักพุทธศาสนาเป็นการยึดความถูกต้องเป็นหลัก ไม่ใช่ตามภาวะของสังคม มิเช่นนั้นก็จะเป็นไปตามที่พันธมิตรฯพูดคือมาตรฐานทางจริยธรรมจะเสื่อมลงเรื่อยๆ ทางสายกลางหรือความถูกต้องนี้ต้องเป็นไปตาม มรรค ๘ นั่นคือมีความถูกต้องชอบธรรม และเน้นเรื่องความพยายามในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปสู่ทางที่ดีขึ้นฯ ตกลงอาจารย์เห็นว่ากระผมถูก พวกโล้นผิด แต่ปัจจุบันนี้อาจารย์ก็ยังอยู่กับพวกโล้นเพราะเหตุผลที่ว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้หวังอะไรเลย ผมจะทำอย่างไรกับอาจารย์ดีครับ จะเอาสากไปควงเล่นไหมครับ?
     พระพรหมคุณาภรณ์ (ปยุตฺโต) เปรียบเทียบไว้ว่า หากเรากล่าวว่า ทางสายกลางคือการปรับตัวตามสังคมก็หมายความว่า คนหนึ่งกินเหล้า ๑๐ แก้ว อีกคนกิน ๑ แก้ว เราก็จะมองว่าคนแรกเป็นคนชั่ว คนที่สองเป็นคนดีเกินไปแบบสุดโต่ง ให้ดีเราต้องกินเหล้า ๕ แก้วอย่างนั้นหรือ? คำตอบคือแนวคิดเช่นนี้ผิด เพราะเราต้องยึดคนอื่นเป็นตัวแปรอยู่ตลอดเวลา เช่น เขาดื่ม ๒๐ แก้ว เราก็ต้องปรับไปเป็น ๑๐ แก้วเพื่อให้อยู่ตรงกลาง การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีหลัก พุทธศาสนาให้ยืนอยู่บนความถูกต้อง นั่นคือต้องไม่กินเหล้า(เพราะทำลายสติปัญญาตนเอง) ส่วนคนที่คิดจะมาปรองดองหรือพบกันครึ่งทางก็ต้องเลิกกินเหล้าด้วย ไม่ใช่พากันไปกินคนละครึ่ง
     เอาเป็นว่าเรื่องของพระธรรมน่าจะยุติไว้ได้แค่นี้ สิ่งสุดท้ายที่ควรระลึกถึงก็คือพระธรรมมีความสำคัญมากทั้งแก่ชีวิตพระสงฆ์และฆราวาสเอง เป็นเสมือนตัวแทนพระพุทธเจ้า พระองค์เพียงแต่แสดงไว้เท่านั้น ส่วนจะสำเร็จมากน้อยล้วนขึ้นอยู่กับความสนใจและเรี่ยวแรงในการปฏิบัติของเราเองโดยไม่พึงประมาทในชีวิตการเป็นอยู่ ผลัดวันไปเรื่อยๆเพื่อหนีการปฏิบัติธรรม เพราะชีวิตวางอยู่บนฐานของความไม่แน่นอน ดังนั้นควรเร่งรีบตั้งแต่ปัจจุบันขณะ ตามภาษิตข้างล่างนี้
    เราทราบชัดธรรมเป็นที่สลัดกิเลสเพียงดังลูกศรออก บอกทางแก่ท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายพึงทำความเพียรเครื่องยังกิเลสให้เร่าร้อนพระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอกชนทั้งหลาย ดำเนินไปแล้วผู้เพ่งพินิจ จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารได้[8] 
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์(ศาสนานี้)มีพระศาสดาล่วงแล้ว  พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา[9] 
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา  พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ[10]
     เรื่องราวของหนังสือนี้ผ่านไปแบบเรียบๆเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความรู้ทางพุทธศาสนาเท่านั้น ยังมิได้เปิดโปงกระบวนการโล้นซ่าอย่างเผ็ดมัน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องถัดๆไปจะเริ่มกล่วงถึงไปเรื่อยๆเพื่อจะได้ทราบข้อเท็จจริง(หมายถึงทางธรรมะนะครับ ไม่ได้ต้องการพูดถึงลูกพี่หรอก เพราะเสียเวลา) ทั้งสองตอนจึงเป็นแค่การเกริ่นนำเพื่อเข้าเรื่อง ต่อไปจึงขอออกโรงตามแบบอย่างของหนังดังทั่วไปว่า
Buffalo University ภูมิใจเสนอ
โล้นซ่าหลอกลวงประชาชน
ให้เสียงภาษาไทยโดย....อีกาเหล็ก





[1] ภาษาอภิธรรมเรียกว่า ขณะ มี ๓ ประการคือ อุปปาทะขณะ ฐิติขณะและภังคะขณะ
[2] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๑๔๖ ชาติธมฺมาน™ ภิกฺขเว สตฺตาน™ เอว™ อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ...พฺยาธิธมฺมาน™ ภิกฺขเว สตฺตาน™...ฯ 
[3] ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ  มัฏฐกุณฑลีวิมาน ข้อ ๘๓ พาโล โข ตฺวมสิ มาณว โย ตฺว™ ปตฺถยสิ อปตฺถิยฯ
[4] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๑๗๓๕ โย จ โข ภิกฺขเว เอววเทยฺย อหทุกฺขอริยสจฺจยถาภูตอนภิสเมจฺจฯ
[5] Matthew 6:13 (NKJV) And do not lead us into temptation, But deliver us from the evil one.
[6] ขุทฺทกนิกายสฺส ธมฺมปทคาถา ข้อ ๑๑  มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา  มโนเสฏฺา มโนมยา มนสา เจ ปทุฏฺเน  ภาสติ วา กโรติ วาฯ
[7] ทีฆนิกาย สีลขันธกวรรค ข้อ ๑๐๒ อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ อพฺโภกาโส ปพฺพชฺชา นยิท̊ สุกร̊ อคาร̊ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณ̊
[8] ขุททกนิกาย ธรรมบท มรรควรรค ข้อ ๓๐ อกฺขาโต โว มยา มคฺโค อญฺญาย สลฺลสตฺถน̊ ตุเมฺหหิ กิจฺจ̊ อาตปฺป̊  อกฺขาตาโร ตถาคตาฯลฯ
[9] ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๑๔๑ อถโข ภควา อายสฺมนฺต̊ อานนฺท̊ อามนฺเตสิ สิยาฯ
[10] ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๑๔๓ หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา   อปฺปมาเทน สมฺปาเทถฯ

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

โล้นซ่าหลอกลวงประชาชน ตอนที่ ๑

ดาวโหลดเอกสาร pdf
โล้นซ่าหลอกลวงประชาชน ตอนที่ ๑ พระพุทธเจ้า
บทนำ
      แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นไปในทำนองนำข้อเท็จจริงมาพูดเล่นหรือประชดประชันสังคมสงฆ์ แต่บางที่ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการหักล้างข้อเท็จจริงหรือชี้แจงเพื่อความกระจ่างจึงต้องนำอ้างอิง(Footnote) มาใส่กำกับไว้เช่นกันเพื่อจะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นการกล่าวร้ายผู้อื่นด้านเดียว(ทั้งที่ความดีก็พูดถึงบ้างในกรณีที่จำเป็นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้) หรือกลายเป็นนักเขียนจอมมั่ว นั่งเทียนเดาเอาเองในกะลา(แม้จะเป็นฝั่งที่มีรูก็ตาม)
      ขอย้ำก่อนเข้าเรื่องนิดหนึ่ง(และควรจะเตือนใจตนเองก่อนอ่านทุกๆตอน)ว่า จุดประสงค์ในการเขียนบทความนี้มิใช่ต้องการประณานโล้นแต่อย่างใด เพียงแต่ใคร่จะเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นร้อนทางสังคมหรือประเด็นที่พระทั้งหลายล้วนเข้าใจคลาดเคลื่อน พาให้การสอนธรรมะเป็นไปด้วยความคลาดเคลื่อนด้วย โดยการเอาเนื้อความในพระไตรปิฎกมาเป็นหลัก ซึ่งกระผมมั่นใจว่าผู้ที่ได้อ่านบทความนี้แล้วใช่จะรังเกียจพระสงฆ์ตามหัวข้อที่ตั้งไว้ แต่หากกลับทำความเห็นตนเองให้ถูกต้อง เพิ่มความเป็นคนมีเหตุผลและอาจรู้สึกสงสารโล้นซ่าได้ในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้นผลที่ได้จากการเรื่องราวของโล้นซ่าเหล่านี้กลับจะทำให้คนรักและภาคภูมิใจกับพระพุทธศาสนาและความเป็นชาวพุทธของตนมากขึ้นด้วยเพราะเห็นว่าพุทธศาสนา ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และหลักธรรมล้วนไม่ได้มีอะไรย่อหย่อนไปกว่าศาสนาอื่นเลยฯ
๑.พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเองในฐานะศาสดาของศาสนาพุทธซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเป็นประเด็นหนึ่งที่ใช้ในการบิดเบือนข้อเท็จจริงได้เหมือนกัน ตั้งแต่เรื่องสัญชาติหรือเชื้อชาติ พูดง่ายๆคือท่านชื่อ สิทธัตถะ เป็นแขกโดยกำเนิด เป็นโอรสของกษัตริย์สุทโธทนะและพระมเหสีสิริมหามายา  บ้างก็เรียกว่า “พิมพา” ซึ่งอาจจะสับสนกับชื่อของพระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะเองที่ชื่อว่า ยโสธราหรือมีชื่อเล่นว่า พิมพา เหมือนกัน
       คำว่า (สิริ)มหามายา เป็นคำที่มีการให้ความหมายและถกเถียงกันอย่างลับๆ จากนักวิชาการหลายคนแต่ที่รู้จักมีคนเดียวคือ ดร.พินิจ  รัตนกุล[1] ได้อธิบายศัพท์นี้ว่า มหา แปลว่ายิ่งใหญ่ มากมาย เลิอเลิศฯ ส่วน มายา แปลแบบตรงตัวคือมารยา หรือการหลอกลวงเมื่อนำศัพท์มารวมกันจึงมีใจความว่า ผู้มีมารยาเป็นเลิศฯ ฟังดูคำแปลนี้แล้วชาวพุทธหลายคนอาจไม่ยอมรับแต่อยากให้ดูคำอธิบายของท่านก่อนคือ ท่านอธิบายว่า “พระพุทธเจ้าเป็นคนที่เกิดอยู่ในโลก เสมือนเต็มไปด้วยมารยา เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ หรือแม้กระทั้งร่างกายมนุษย์เองก็เป็นมารยา นั่นคือสิ่งที่หลอกลวงให้เราหลงยึดติดว่านั่นเป็นของเรา นี่เป็นของเรา (อัตตา/อัตตนียา) แต่ความเป็นจริงล้วนเป็นส่วนประกอบของเหตุปัจจัยทั้งสิ้น  หามีเจ้าของที่จะบังคับควบคุมให้เป็นไปตามใจอยากของตนได้ไม่[2] พระองค์จึงเป็นเหมือนเกิดมาจากมารยา(ที่ยิ่งใหญ่)หลอกลวงทุกคนให้หลง แต่ที่สุดพระองค์ก็ใช้ปัญญาฝ่าวงล้อมของมารยานี้ออกไปสู่โลกของความเป็นจริงได้ฯ”[3]
      เมืองกบิลพัสดุ์อยู่ติดเชิงเขาหิมาลัยซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล แคว้น/ตระกูลของพระองค์คือ ศากยะ[4] สมัยนั้นเรียกบริเวณนั้นว่าชมพูทวีป[5] คนไทยหลายคนโดยเฉพาะรุ่นปู่ย่าตายาย(และนักวิชาการบางคน)กลับยืนยันหัวชนฝาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ไม่เชื่อเราลองเดินผ่านยายแล้วพูดเป็นทำนองอุทานให้ท่านได้ยินว่า “พระพุทธเจ้าเป็นคนอินเดีย” ในกรณีที่ท่านอยากพูดด้วย ท่านก็บ่นออกมาทันทีว่า “ที่ไหน? เป็นคนไทยต่างหาก”  เรื่องของคนแก่เราอาจสันนิษฐานได้ว่าเพราะเราเป็นคนอนุรักษ์นิยมเหมือนกัน การจะยกย่องเชิดชูคนอื่น(โดยเฉพาะที่ไม่ใช่เชื่อสายเรา)ค่อนข้างทำลำบาก(ให้ดูไทเกอวูดเป็นตัวอย่าง) แต่ก็น่าจะให้อภัยได้พอๆกับนักวิชาการที่อุตส่าห์หาข้อมูลมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอนก็ล้วนวิเคราะห์และพยายามแสดงเหตุผลให้ได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย มีการยกเหตุผลเรื่องพุทธศาสนารุ่งเรืองในประเทศไทย(โดยใช้ศัพท์ว่า ทวารวดี)และร่องรอยพระพุทธบาทสระบุรีเป็นต้น (ถามจริง พุทธศาสนาเคยเจริญในเมืองไทยหรอ?)ฯ ทำเอาราชบัณฑิตต้องออกแก้กันยกใหญ่[6] ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ท่านได้ออกมาทำงานเพื่อมวลชนบ้าง(ภาษาในพระไตรปิฎกเรียกการทำเช่นนี้ว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของพุทธบริษัทคือการ ปรับวาทะ) แต่อย่างไรก็ตามเหตุผลดังกล่าวที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยนั้นจะไม่เอามาเขียนไว้ในที่นี้เพราะเท่าที่อ่านดูไร้สาระมาก บางทีอาจมีการอ้างถึงครูอาจารย์สายกรรมฐานบางท่านโดยไม่ทราบว่าเป็นเจตนาดีหรือร้ายที่จะประกาศศักดาหรือลดทอนกิตติศัพท์ท่านเหล่านั้นกันแน่[7] อย่างไรเสียเมื่อพูดถึงแล้วก็ขอชี้แจงนิดหน่อยและจะพูดต่อไปว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นแขกร้อยเปอร์เซ็นจากหลักฐานง่ายๆต่อไปนี้
      ๑. พระไตรปิฎกที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในปัจจุบัน คือพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทด้วยเหตุที่ว่ารักษาคำสอนไว้ได้ครบถ้วนหรือมากที่สุดโดยไม่มีการตัดออก(แม้อ่านแล้วจะไม่เข้าใจก็ตาม) ซึ่งมีการบันทึกเป็นภาษาบาลีเพราะเอาตามภาษาของชนพื้นเมืองหรือแคว้นมคธ อาจเทียบกับปัจจุบันได้กับภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาที่ดูมีระดับที่สุด อย่างน้อยก็ด้อยกว่าภาษาฝรั่งเศส(ในทัศนะของคนหัวสูงทั้งหลาย) คนพูดภาษาฝรั่งเศสจึงมีน้อยกว่าคนพูดอังกฤษ เหตุที่พระพุทธเจ้าเลือกภาษาบาลีแทนสันสกฤตเพราะเป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่เข้าใจเพื่อได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากคำสอนของพระองค์[8] อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ทรงอนุญาติ(สนับสนุน)ให้เผยแผ่ธรรมะได้ตามภาษาของท้องถิ่นนั้นๆได้ฯ เมื่อพระไตรปิฎกที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดมีการบันทึกเป็นภาษามคธ อาจยืนยันได้ส่วนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าและช่วงชีวิตการเผยแผ่ธรรมะจึงเป็นอินเดีย แต่หากท่านเห็นว่าหลักฐานยังอ่อน ก็ต้องดูเรื่องของพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสด้วยพระองค์เองแก่โพธิราชกุมารเป็นต้นว่า เช่นตอนออกหาที่สงบเพื่อบำเพ็ญทุกกรกิริยา(ทรมานร่างกาย) พระองค์ก็เสด็จไปพบตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี
“ราชกุมาร เรานั้นเมื่อหลีกไปจากสำนักอุทกผู้รามบุตรแล้ว แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐฝ่ายสันติอันไม่มีอย่างอื่นยิ่งกว่า เที่ยวจาริกไปตามลำดับหลายตำบลในมคธรัฐ จนบรรลุถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ ณ ตำบลนั้น ณ ที่นั้นเราได้พบภาคพื้นรมณียสถาน มีไพรสณฑ์น่าเลื่อมใส แม่น้ำไหลใสเย็นจืดสนิท....”[9]
      ข้อความนี้พอจะยืนยันสถานที่ในอินเดียได้ชัดเจนแล้ว (หากไม่มีใครไปตีความอีกว่ามคธรัฐคือสุพรรณบุรี อุรุเวลาเสนานิคมคือหนองคาย) กล่าวตามคนที่ยึดพุทธวจนะเป็นอุดมคติก็ต้องบอกว่า ถ้ายังไม่เชื่ออีกก็แสดงว่าไม่ใช่ชาวพุทธฯ แต่เราสามารถอนุโลมกันได้ เพราะท่านอาจคิดว่านี่เป็นแต่เพียงหลักฐานยังไม่มีเหตุผลพอฯ
      ๒.ในกรณีที่ต้องการเหตุผลไม่เอาพุทธพจน์ก็ขอพูดกันตรงๆเลยว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนฉลาด ออกบวชแสวงหาความพ้นทุกข์ เพราะเหตุนี้เองที่ท่านต้องไปเกิดแถวอินเดียเพราะมีนักบวชมากมายหลายนิกาย เป็นสถานที่ที่คนคร่ำเคร่งกับการหาทางพ้นทุกข์จริงๆ เกิดมาก็เห็นนักบวชเลยเช่น อสิตดาบสเป็นต้น ต้นแบบการครองชีวิตเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้นจึงมีให้เห็นทั่วไป แต่เทียบกับเมืองไทย ย้อนไปสองพันห้าร้อยปีก่อนบริเวณนี้ยังมีผู้คนหรือยังก็ไม่ทราบชัด เราอาจดูได้ง่ายๆแค่สักห้าร้อยปีที่แล้ว บ้านเมืองเราคิดแต่จะทำสงคราม เช่นหากพม่าบุกมาจะเอาตัวรอดอย่างไร วิ่งไปทางไหน? เราจะทำอย่างไรกับลาว กัมพูชาหรือมาเลเซียให้เขาเอาดินแดนเราน้อยที่สุด ถึงเวลาว่างสงครามก็ทำมาหากิน  เล่นไพ่ กินเหล้า ชนไก่ฯ นิสัยที่ยังติดมาจนตอนนี้คือการใช้เวลาว่างพูดเรื่องชาวบ้าน(ไม่เว้นกระทั้งพระ) เราจึงไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการสนใจธรรมะหรือหาทางพ้นทุกข์ เราไม่เคยฝึกสมาธิ พื้นฐานที่จะรับเอาพระพุทธศาสนาเราจึงไม่มี ถามตรงๆแม้ปัจจุบันมีคนที่เข้าใจพุทธศาสนาและปฏิบัติตามนั้นกี่คน อาจไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นของชาวพุทธไทยด้วยซ้ำ กระผมจึงมองไม่ออกว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธตรงไหน แต่เอาเถอะ เราสามารถกล่าวอนุโลมให้ได้อีกว่า สมมติพระพุทธเจ้าเกิดที่เมืองไทยจริง แต่เราต้องไม่ลืมนะว่าท่านสามารถพูดได้และเดินได้เลยฯ ดังนั้นกระผมจึงเชื่อว่าเมื่อท่านเห็นหน้าตาของคนไทยแล้ว รู้จักนิสัยและสติปัญญาของเราแล้ว ท่านคงจะเดินไปอินเดียและหวังที่จะเติบโตที่โน้นเป็นแน่ เพื่อว่าเมื่อสอนธรรมะจะได้มีคนเข้าใจท่านบ้างฯ
      เมื่อประสูติท่านก็ถูกตั้งชื่อว่า เจ้าชายสิทธัตถะ แปลว่าผู้สำเร็จตามสิ่งที่ปรารถนาหรือสำเร็จประโยชน์ (สิทธะ แปลว่า สำเร็จ ส่วน อัตถะ แปลว่าประโยชน์) หากจะแปลให้สมกับฐานะของการเป็นพระพุทธเจ้าเราอาจใช้คำว่า ผู้เกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้สำเร็จ(แก่มวลมนุษย์)คือพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
      ธรรมดาของหนังสือพุทธประวัติทั้งหลายจะพูดเรื่องการทำนายลักษณะของท่าน(เจ้าชายสิทธัตถะ) เริ่มตั้งแต่สามวันหลังคลอด อสิตดาบสผู้เป็นนักบวชคนสนิท(ขาประจำ)ของพระเจ้าสุทโธทนะบิดาเข้าเยี่ยมเด็กน้อย บังเอิญท่านเคยศึกษาตำราดูลักษณะมหาบุรุษมาก่อน หรือบ้างก็ว่าเพราะท่านมีญาณที่สามารถล่วงรู้อนาคตได้(ขอออกตัวก่อนว่ากระผมไม่เห็นด้วยทั้งสองข้อเลย) ครั้นเห็นลักษณะเด็กแล้วก็หัวเราะสลับกับร้องไห้ (ฟังดูเหมือนจะเป็นคนมีปัญหาทางจิต) แต่มีนัยยะที่อธิบายกันได้ลึกซึ้งกินใจว่า ที่หัวเราะแสดงความดีใจเนื่องจากเห็นว่าในอนาคตเด็กคนนี้จะออกบวชและฝึกตนจนเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด สามารถแสดงธรรมโปรดหลายต่อหลายคนให้พ้นทุกข์ตามได้(แต่น่าจะยกเว้นคนไทย..ผู้เขียนคิดเอง) ส่วนที่แสดงอาการร้องไห้เพราะเห็นว่าตนเองแก่หง่อมจะเข้าโลงอยู่อีกไม่กี่ปีแล้ว กว่าเด็กคนนี้จะรู้จักเที่ยวเล่น เล่าเรียน จีบสาว โคลนิ่งมนุษย์คนใหม่เป็นตัวแทนของตนขึ้นได้และเบื่อชีวิตฆราวาสคงนานมาก ตนเองคงรอไม่ไหว(ต่อให้ใจรักมากก็ตาม) จึงหลั่งน้ำตาออกมาแสดงความโชคร้ายที่พลาดโอกาสดีเช่นนั้นไป (คล้ายจะอุทานเป็นนัยว่า...ผิดที่เราเจอกันช้าไปฯ) สรุปว่าเมื่อเห็นลักษณะเช่นนั้นแล้ว จากเดิมพระเจ้าสุทโธทนะที่มีความประสงค์จะให้นำพระโอรสมาไหว้พระดาบสกลับกลายเป็นพระดาบสแสดงความเคารพทารกน้อยแทนฯ
      เวลาผ่านไป ๕ วันทางราชสำนักได้จัดให้มีการเลี้ยงภัตตาหารพราหมณ์ทั้งหมด ๑๐๘ คน จากนั้นก็คัดเอาหัวกะทิเพียง ๘ คนที่มีชื่อเสียงลือเลื่องและเต็มไปด้วยความสามารถซึ่งเราอาจเทียบกับปัจจุบันว่า “ศาสตราจารย์” หนึ่งในนั้นมีท่าน โกณทัญญะ ซึ่งมีอายุน้อยที่สุดเข้าทำนายลักษณะเจ้าชาย ทั้ง ๗ คนทำนายออกเป็นสองทางคือ หากดำรงชีพเป็นฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ(พอๆกับ อเลกซานเดอร์ หรือ เจนกิสข่าน) แต่หากประสงค์จะออกบวชก็สามารถค้นพบสัจธรรมเป็นพระพุทธเจ้าฯ การทำนายสองทางเช่นนี้เสมือนการกันเอาไว้เผื่อไม่ออกทางหนึ่งจะได้ออกอีกทางหนึ่ง(เหมือนการซื้อหวยแบบ T) ปรากฎว่ามีท่านโกณทัญญะคนเดียวเท่านั้นที่ยืนเสียงข้างน้อย เห็นว่าต้องออกบวชอย่างเดียว(ชัว)
      การทำนายของท่านโกณทัญญะแม้จะเป็นเสียงข้างน้อยกว่าแต่ก็ทำเอาพระเจ้าสุทโธทนะไม่สบายพระทัยอย่างยิ่ง(ซึ่งอาจเป็นได้ว่าพระองค์เชื่อคำของอสิตดาบสที่ทำนายไว้อย่างเดียวกันนั้นไว้ก่อนแล้ว) พระองค์จึงทรงทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าชายติดใจชีวิตฆราวาส โดยส่งไปศึกษาในโรงเรียนชื่อดังและเมื่อสำเร็จก็ให้แต่งงานกับเจ้าหญิง ยโสธราเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ทำนองเดียวกันพระนางเองก็อายุได้ ๑๖ ปี ที่ทราบกันเช่นนี้เพราะยึดเอาสหชาติ คือสิ่งที่เกิดมาพร้อมเจ้าชายสิทธัตถะ ๗ ประการคือ
๑.พระนางยโสธราหรือพิมพา (น้องสาวพระเทวทัต ผู้ที่ต่อมาเล่ากันว่าถูกทรายดูด)
๒.พระอานนท์ (ผู้เป็นอุปัฏฐากซึ่งตอนเกิดเป็นเจ้าชายเหมือนกันยังไม่ได้เป็นพระ)
๓.ม้ากัณฐกะ (พาหนะส่วนพระองค์ที่ภาพวาดเห็นเป็นเหาะข้ามน้ำและถูกฉันนะดึงหาง)
๔.ฉันนะ (คนรับใช้ใกล้ชิด...ต้องขออภัยด้วยที่เรียงลำดับม้าไว้ก่อนคน มิใช้เพราะต้องการเหยียดสีผิวหรือชั้นวรรณะ แต่เพราะนึกได้ก่อน)
๕. ต้นโพธิ์ (ที่สำหรับบำเพ็ญเพียรและบรรลุธรรม)
๖. กาฬุทายีอำมาตย์ (ทำหน้าที่ทูตผู้นิมนต์พระองค์ไปโปรดพระบิดาได้สำเร็จ)
๗. ขุมทรัพย์ทั้งสี่มุมเมือง (เทียบกับปัจจุบันคือหุ้นตามบริษัทต่างๆมีชินคอร์ป เป็นต้น)
      หลายที่แม้แต่ในหลักสูตรนักธรรมก็อธิบายว่าทั้ง ๗ อย่างที่ยกมานี้เกิดพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะเลย จึงได้ชื่อว่า สหชาติ ส่วนอาจารย์บางท่านเปิดใจออกนิดหนึ่งแปลคำว่าสหชาติใหม่คือไม่ได้เกิดพร้อม/เวลาเดียวกัน แต่เกิดมาเพื่อคู่กันหรือเกิดมาเพื่อเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่การดำเนินชีวิตของเจ้าชายสิทธัตถะ เช่น ม้ากัณฐกะ อาจมิได้เกิดพร้อมเจ้าชาย แต่เกิดมา(หลัง)เพื่อเป็นพาหนะของพระองค์เท่านั้น เราอาจดูตัวอย่างง่ายๆเช่น ตอนเจ้าชายออกบวช(อายุ ๒๙)ได้ขี่ม้าไปริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ลองนึกภาพง่ายๆว่าม้าตัวนั้นแก่มากแล้ว อายุ ๒๙ ปี คงไม่แปลกเลยที่ว่าไปถึงแล้วม้าตาย ขากลับฉันนะต้องเดินเอง แต่นั่นเป็นการพูดให้ตลกเท่านั้น เพราะม้าที่ตายไม่ใช่เพราะเหนื่อยหรือแก่ แต่เป็นเพราะอาลัยรักในเจ้าชายเพราะอยู่ด้วยกันมาหลายปีต่างหาก หรืออีกอย่างคือขุมทรัพย์ ถ้าจะเอาความหมายสหชาติแบบที่ถือกันก็คือพอเจ้าชายเกิดก็มีขุมทรัพย์เกิดงอกขึ้นในดินทันที ฟังดูก็น่าพิศวงอยู่ เพราะเหตุผลนี้เองที่ความหมายของสหชาติอันนี้จึงใช้ไม่ได้ แต่ชาวพุทธ(ที่เคร่งจัดเพราะไม่ยอมศึกษาให้ละเอียด)กลับบอกว่า มันเป็นพุทธวิสัย เป็นเรื่องบุญบารมี ไม่เชื่ออย่าลบหลู่(พูดอย่างนี้อีกแล้ว??เถียงไม่ได้เลย)
      เมื่อพระองค์แต่งงานแล้วใช้ชีวิตอยู่ในวัง มีสระบัว ๓ สระ ปราสาท ๓ หลังที่พระเจ้าสุทโธทนะสร้างให้อยู่ใน ๓ ฤดู ดังปรากฎในพระสูตรว่า
     “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามีปราสาท ๓ หลัง ปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ ในฤดูหนาวปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูร้อน ปราสาทหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน เรานั้นแลถูกบำเรอด้วยดนตรีซึ่งไม่มีบุรุษปนตลอด ๔ เดือนในฤดูฝน บนปราสาทอันเป็นที่อยู่ในฤดูฝน มิได้ลงมาข้างล่างปราสาทเลย”[10]
ข้อความที่ต่อกันเป็นเสมือนชนวนของการเบื่อหน่ายชีวิตและออกบวช
     “ภิกษุทั้งหลายเรานั้นประกอบด้วยความสำเร็จเห็นปานดังนี้ เป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง ก็ยังคิดเห็นดังนี้ว่า ปุถุชนผู้ยังไม่ได้สดับ เมื่อตนเป็นผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้เห็นคนอื่นแก่ ก็ล่วงตนเองเสียแล้วอึดอัด ระอา รังเกียจไม่คิดว่า แม้เราก็เป็นผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้...ทำนองเดียวกันกับ ความเจ็บและความตาย”[11]
      เผื่อยังไม่เข้าใจ ขออธิบายเพิ่มอีกนิดคือแม้พระองค์จะอยู่ในปราสาท ๓ หลัง มีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ถูกบำเรอด้วยสตรีและเสียงเพลงจากวงดนตรีและนักร้องค่ายดังแต่ก็ยังทำให้คิดถึงธรรมชาติของชีวิตที่ยังตกอยู่ภายใต้ความแก่ เจ็บ ตาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้พิจารณา แม้จะเห็นผู้อื่นเช่นญาติพี่น้องตนเองแก่ เจ็บ ตายก็ยังรังเกียจ(หรือเศร้าเสียใจ)โดยไม่ได้มองย้อนกลับเข้าหาตนเองว่า ตนเองก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้การออกบวชในทางเถรวาทจึงตีความไปเพราะพิจารณาเห็นนิมิต ทั้ง ๔ คือ แก่ เจ็บ ตายและสมณะ แต่ทางมหายานบางแห่งมีการยกเรื่องแย่งน้ำในสภามาโดยบอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะแพ้คะแนนโหวตจึงต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกหรือเนรเทศไปจากเมือง ดังมีข้อความที่ปรากฎในหนังสือพุทธประวัติมหายาน[12]และอ้างอิง(เชื่ออย่างสนิทใจ)โดย ศาสตราจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก/ราชบัณฑิต ว่า
     “ขอพูดถึงการหนีบวชไม่หนีบวชกันดีกว่า ถ้าตามพระดำรัสนี้ แสดงว่าเจ้าชายสิทธัตถะมิได้เสด็จหนีบวชในเวลากลางคืนแน่ แต่บวชขณะที่พระราชบิดา (และพระราชมารดา) รู้เห็นอยู่ แต่ไม่อยู่ในฐานะจะทัดทานได้
ถ้าถามต่อไปว่า ทำไมจึงทัดทานไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้โอรสบวช
     ก็ต้องตอบตามสมมติฐานข้อสองนั่นคือ เจ้าชายสิทธัตถะถูกผลักดันให้ออกไปจากประเทศ พระเจ้าสุทโธทนะถึงจะเป็นกษัตริย์ประมุขชาวศากยะในขณะนั้น ก็ไม่อยู่ในฐานะจะช่วยโอรสตนเองได้ ในเมื่อเป็นมติของสภาตัดสินออกมา
     ถามต่อไปว่า เรื่องอะไรล่ะ ที่ทำให้ชาวศากยะถึงต้องลงมติผลักดันให้เจ้าชายสิทธัตถะออกจากเมือง ก็ต้องโยงถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของศากยวงศ์เรื่องหนึ่งคือ "ศึกชิงน้ำ"
     เชื้อสายของพระพุทธเจ้าแบ่งเป็นสองกลุ่มตั้งเมืองอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งชื่อ "โรหิณี" ศากยะแห่งกบิลพัสดุ์อยู่ฟากหนึ่ง โกลิยะแห่งเทวทหะอยู่อีกฟากหนึ่ง ทั้งสองตระกูลเป็นพวกที่หยิ่งในสายเลือดของตัวเองมาก จึงแต่งงานในระหว่างญาติพี่น้องกันเอง (ซึ่งผิดกฎเมนเดลเป็นอย่างมาก อาจเพราะเหตุนี้ก็ได้ที่ทำให้ชาติพันธุ์ของพระพุทธเจ้าสูญไปจากหน้าประวัติศาสตร์เร็วกว่ากำหนด นอกเหนือไปจากทำสงครามล้างผลาญกันเอง ซึ่งจะกล่าวข้างหน้า)
     ทั้งสองตระกูลนี้มีอาชีพหลักคือกสิกรรม อาศัยน้ำในแม่น้ำโรหิณีทำนา มีการกระทบกระทั่งกันเกี่ยวกับการแย่งกันทดน้ำไปทำนาบ่อยครั้ง เป็นปัญหาเรื้อรังมานมนาน จนกระทั่งถึงสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะอยู่ในวัยฉกรรจ์ ความวิวาทบาดหมางได้ทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขั้นศากยะแห่งกบิลพัสดุ์เรียกประชุมตัดสินชี้ขาดกันในสภา
     เสียงส่วนมากในที่ประชุมเสนอว่า สมควรจะใช้มาตรการขั้นสุดท้าย คือยกทัพไปรบกับโกลิยะแห่งเทวทหะให้รู้แล้วรู้รอดกันเสียที แต่เจ้าชายสิทธัตถะ (อาจมีสมาชิกอื่นด้วย) ไม่เห็นด้วยกับที่พี่น้องกันเองจะล้างผลาญกัน
     เมื่อโหวตเสียงปรากฏว่าแพ้มติที่ประชุม ทั้งๆ ที่แพ้มติที่ประชุมเจ้าชายท่านไม่ยอมเลิกละยืนขึ้นคัดค้านกระต่ายขาเดียวอยู่นั่นแล้ว นับว่าปฏิบัติผิดระเบียบข้อบังคับของสภาอย่างร้ายแรงจึงถูกขับออกไปในที่สุด
     แต่การให้เจ้าชายสิทธัตถะออกจากเมืองมิใช่เรื่องเล็กน้อย พวกศากยะเป็นประเทศราชขึ้นอยู่กับพระเจ้า ปเสนทิโกศลแห่งรัฐโกศลอีกต่อหนึ่ง (มิได้เป็นประเทศอิสระใหญ่โตอย่างที่ชาวพุทธไทยเราเชื่อกัน) พวกเขากลัวว่า ถ้า ปเสนทิโกศลเจ้านายเหนือหัวทราบเรื่องเข้า อาจยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ จึงตกลงกันให้ระงับศึกชิงน้ำไว้สักพักหนึ่งก่อน และขอคำมั่นจากเจ้าชายสิทธัตถะว่าจะต้องไม่ให้ปเสนทิโกสลรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด สิทธัตถะรับปาก และเพื่อให้พวกศากยะวางใจยิ่งขึ้น จึงถือเพศบรรพชิตออกไปให้เห็นประจักษ์กับตาเลยทีเดียว (ไม่ว่าสมัยนั้น หรือสมัยไหน เพศบรรพชิตถือว่าไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร ในประวัติศาสตร์ไทยผู้ที่หนีราชภัยออกบวชย่อมไม่ได้รับการรบกวนจากกษัตริย์ผู้มีอำนาจ นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณกาล)”[13]
เรื่องราวที่ยกมานี้กระผมมีความไม่เห็นด้วยอยู่หลายประเด็น(แต่เพื่อความสบายใจให้ผู้อ่านทราบว่าไม่ใช่เพราะกระผมเป็นเถรวาทจึงรับความคิดของมหายานไม่ได้ แต่ด้วยการอ้างอิงที่ไม่มีตรรกะ) ดังจะชี้ให้เห็นเป็นลำดับไป
     ประการแรก การโหวตเสียงแล้วแพ้ในสภาส่งผลให้ผู้แพ้ต้องออกจากเมืองไป เทียบกับปัจจุบันถ้า ส.ส.เข้าสภาไปอภิปรายเรื่องโครงการหรืองบประมาณ หากผู้ใดไม่เห็นด้วยและแพ้คะแนนโหวต(เป็นเสียงข้างน้อย)ผู้นั้นต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.เลยหรือ? หรือดังที่ท่านอาจารย์บอกว่า เป็นเพราะเจ้าชายสิทธัตถะยังรั้น ไม่ยอมเห็นด้วย ยืนกระต่ายขาเดียวที่จะคัดค้านนั้นผิดกฎอย่างร้ายแรงฯ ก็ในเมื่อความเป็นจริงหากมีการไม่เห็นด้วยกันในสภาก็ต้องเป็นธรรมดาที่มีคนยืนกระต่ายขาเดียวคัดค้านอยู่แล้ว(กรุณานั่งลงก่อน...ผมยังไม่นั่ง) แม้จะเป็นเสียงข้างน้อยก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่สาระ เพราะโครงการ/งบประมาณทั้งหลายหากได้เสียงข้างมากก็ถือว่าผ่านอยู่ดีแม้เจ้าตัวแสบที่ไม่เห็นด้วยจะยังคงอยู่ในสภาหรือคัดค้านให้หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ตามฯ ดังนั้นประเด็นนี้กระผมจึงมองไม่ออกว่าการโหวตแพ้ของเจ้าชายสิทธัตถะจะต้องถึงกับออกจากเมืองแต่อย่างใดฯ
     ประการที่สอง การที่เจ้าชายสิทธัตถะต้องออกจากวังและบวชเพื่อเป็นการแสดงให้บรรดาพวกศากยวงศ์เบาใจว่าจะไม่นำเรื่องไปบอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล เพราะเกรงว่าหากทราบเข้าจะเข้ามามีส่วนในการทำสงครามของทั้งสองฯ พูดง่ายๆถ้าเทียบกับปัจจุบันคือหากไทยจะทำสงครามกับเขมรก็กลัวฝรั่งเศสจะเข้ามาช่วยเขมร(หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน)นั่นเอง ข้อนี้ฟังดูเหมือนค่อนข้างมีเหตุมีผล แต่เราต้องแยกแยะว่าสิ่งที่พวกศากยวงศ์จะทำคือสงคราม ไม่ใช่การเจรจา(หรือใช้ข้อมูลต่อสู้กันในศาลโลก) ดังนั้นผู้ที่อยากจะทำสงครามจริงๆ(โดยเฉพาะผู้ที่มั่นใจว่าตนต้องชนะ) แทนที่จะหยุดไว้ก่อนแล้วค่อยทำ กลับต้องรีบเร่งเพราะกลัวว่ายิ่งรอนานนั่นแหละ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะทราบแล้วเข้าช่วยเหลืออีกฝ่ายทันเวลาฯ  เพราะการทำสงครามฆ่าล้างกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะปกปิดเรื่องเหล่านี้แก่สาธารณะชน(แม้สมัยอดีตก็ตาม) การรอเวลาเพื่อปกปิดความลับกลับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการรู้ข้อมูลข่าวสารและการตั้งรับของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ดังนั้นประเด็นนี้กระผมก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าเจ้าชายสิทธัตถะต้องออกบวชไปเพราะเพื่อแสดงความรับผิดชอบและปกปิดเรื่องการทำสงครามใหญ่ของสองเมืองแต่อย่างใดฯ
     ประการสุดท้าย ซึ่งสำคัญมากและมิได้เป็นข้อถกเถียงโดยตรงกับข้อความนี้ นั่นคือหากเชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชเพราะจำใจ ไม่ได้มีศรัทธาแต่เพราะถูกบีบเพียงเพื่อให้พ้นไปจากวังและการเมืองฯ จะเป็นการปฏิเสธความตั้งใจของพระโพธิสัตว์เองในการออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรมและปลดปล่อยตนเองพร้อมทั้งสรรพสัตว์จากสังสารวัฏฯ ดังนั้นแม้การออกบวชก็มิได้เป็นไปเพราะความเบื่อหน่ายกามคุณ มิได้เป็นไปเพราะความเมตตากรุณา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเรียกว่า “มหาภิเนษกรมณ์” ไม่ได้ เพราะมิได้มีจุดประสงค์เพื่อคุณอันยิ่งใหญ่กล่าวคือการสลัดตน(และช่วยผู้อื่น)ให้พ้นจากทุกข์ และหากออกบวชด้วยเหตุผลนั้นจริงก็จะไม่ทรงมีความอุตสาหะในการศึกษาเรื่องการพ้นทุกข์จากครูอาจารย์ บำเพ็ญเพียร ฝึกฌาน ทรมานตนเองด้วยทุกรกิริยาจนเจียนตาย และประการสำคัญเป็นการปฏิเสธการบำเพ็ญบารมีและการเกิดมาเป็นชาติสุดท้ายเพื่อโพธิญาณฯ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นปราชญ์ทางพุทธศาสนา ด้วยเหตุที่ท่านศึกษาพุทธศาสนามามาก มักคุ้นเคยกับคำพูดของพระพุทธเจ้าจนอาจไม่มีความเชื่อแม้จะนำเอาพุทธพจน์มายืนยันก็ตาม ดังนั้นกระผมจะขอนำคำพูดของม้า(กัณฐกะเทพบุตร)มาประกอบไว้แทนเผื่อในสายตาท่านทั้งหลายจะมีน้ำหนัก/ความน่าเชื่อถือกว่าพระพุทธเจ้า
            “ข้าพเจ้าเป็นพญาม้าชื่อกัณฐกะ เป็นสหชาติของพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็นใหญ่กว่าเจ้าศากยะทั้งหลายในกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อพระราชโอรสนั้น เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ในมัชฌิมยามเพื่อความตรัสรู้ เอาฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนเล็บแดงจางสุกใส ตบอกข้าพเจ้าเบาๆ แล้วตรัสกะข้าพเจ้าว่า จงพาฉันไปเถิดสหาย ฉันได้บรรลุพระโพธิญาณอันอุดมแล้ว จักยังโลกให้ข้ามพ้นจากห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด) เมื่อข้าพเจ้าฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ได้มีความร่าเริงยินดีเบิกบาน บันเทิงใจเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจึงได้รับคำของท่านโดยความเคารพ ครั้นข้าพเจ้ารู้ว่า พระมหาบุรุษผู้เป็นพระโอรสแห่งศากยราชผู้เรืองยศ ประทับนั่งบนหลังของข้าพเจ้าแล้ว มีจิตเบิกบานบันเทิงใจ นำพระมหาบุรุษออกไปจากพระนคร ไปจนถึงแว่นแคว้นของกษัตริย์เหล่าอื่น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระมหาบุรุษมิได้มีความอาลัยละทิ้งข้าพเจ้ากับฉันนะอำมาตย์ไว้ ทรงหลีกไป ข้าพเจ้าได้เลียพระบาททั้ง ๒ ของพระองค์ ซึ่งมีเล็บอันแดง ด้วยลิ้น ร้องไห้ แลดูพระลูกเจ้าผู้มีความเพียรอันยิ่งใหญ่เสด็จไปอยู่ ข้าพเจ้าป่วยอย่างหนักเพราะมิได้เห็นพระมหาบุรุษศากโยรส ผู้มีศิริพระองค์นั้น ข้าพเจ้าได้ตายลงอย่างรวดเร็ว(ช๊อก) ด้วยอานุภาพแห่งปีติและโสมนัสนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มาอยู่ยังวิมานนี้”[14]
      เอาเป็นว่าเรื่องการออกบวชน่าจะหยุดไว้แค่นี้ หลายคนอาจมองว่าไม่จำเป็นต้องมาถกเถียงกันเรื่องมูลเหตุของการออกบวช เพราะอย่างไรเสียก็ไม่อาจทราบชัดได้ และอีกอย่าง ผลก็ออกมาแล้วว่าเจ้าชายสิทธัตถะออกบวชแล้วและบรรลุธรรมแล้ว เรื่องสาระธรรมนั่นแหละเป็นเรื่องที่น่าประทับใจและน่าถกกันมากกว่าฯ เอาเป็นว่ากระผมก็เห็นด้วยตามนั้นเลิกก็เลิก(เพราะฟันศอกเขาไว้แล้ว)
      หลังจากที่เจ้าชายออกบวชก็ได้เข้าหาครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบทเป็นระยะเวลาหนึ่งจนชำนาญในการเข้าฌานสมาธิ แต่ด้วยเห็นว่าสมาธิแม้จะทำให้มีความสุขจริง แต่มันก็เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งคือการปิดตัวเองไม่ให้รับรู้ปัญหาภายนอก เมื่อออกมาจากสมาธิ พบปะผู้คน ได้รับคำสรรเสริญและนินทา พบเห็นภาพที่ประทับใจและรังเกียจก็ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์คล้อยตามสภาวะทางโลกอยู่ดี(เรามักได้ยินการเปรียบเทียบกับ ก้อนหินทับหญ้า) ท่านจึงเห็นว่านี่ยังไม่ใช่วิธีสู่การพ้นทุกข์ที่แท้จริง จึงขอลาอาจารย์ทั้งสองไปแสวงหาวิธีด้วยตนเอง
      จากเรื่องสั้นๆนี้หลายคนบวชแล้วแบกย่าม แบกกรดเข้าป่าไปเลยโดยไม่ได้ศึกษาวิธีการเสียก่อน เพราะถูกบอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีใครเป็นอาจารย์ ไม่เคยศึกษากับใครซึ่งเป็นเรื่องไม่จริงเลยพระองค์ยังต้องเข้าหาครูอาจารย์ เราอาจกล่าวว่าการบรรลุธรรมของท่านไม่เกี่ยวกับครูอาจารย์ก็จริง เพราะท่านค้นพบวิปัสสนาด้วยตนเอง แต่ต้องไม่ลืมว่าพื้นฐานที่ได้จากการทำใจให้สงบ(สมถะ)นั้นเกิดจากการฝึกในสำนักอาจารย์มาก่อนและการปฏิเสธครูอาจารย์ของท่านเนื่องจากเหตุผลที่ว่าท่านมีความรู้เทียบเท่าครูอาจารย์แล้ว แต่สำหรับผู้บวชใหม่ยังไม่มีความรู้อะไรเลยจะใช้หลักการเดียวคือดิ่งเข้าป่าไปเลยนั้นไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตั้งกฎเกณฑ์ไว้ให้พระอยู่ศึกษาธรรมะรับใช้พระอุปัชฌาย์(หรืออาจารย์)ก่อนอย่างน้อย ๕ ปี แต่ก็น่าเสียดายที่ปัจจุบันการอยู่กับพระอุปัชฌาย์เหมือนไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าใดนัก คือแทนที่จะสอนวินัยหรือสมาธิกลับพาลูกศิษย์เที่ยวแจกซองกฐิน ผ้าป่า ลอยกระทง หากิจนิมนต์ สวดอภิธรรม ว่างๆก็นั่งบีบนวดกัน ทำงานเอกสารทีหนึ่งก็ตอนที่ตนจะขอเลื่อนสมณศักดิ์ พระลูกศิษย์ก็ต้องมานั่งพิมพ์ผลงาน ถ่ายรูปโบสถ์ ศาลาฯลฯ หรือบางท่านที่ยิ่งกว่านั้นพระลูกศิษย์ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เนื่องจากตนเองมีสตรีคอยปัดกวาดกุฏิ ซักจีวร จัดเตรียมภัตตาหาร เป็นเพื่อนยามเหงาซึ่งมีอำนาจพอที่จะสั่งให้ใครอยู่หรือไปจากวัดนั้นก็ได้(รวมทั้งตัวเจ้าอาวาสเอง)ด้วยคำพูดที่เกริ่นขึ้นเพียงสั้นๆว่า “อย่าให้ฉันต้องพูดออกมานะ” โล้นทั้งหลายทั้งหัวหน้าและลูกน้องต่างพากันขวัญหาย แยกย้ายกันเดินกลับกุฏิเอนหลังบนเตียงเข้าฌานต่อฯ พอดีกว่า เหมือนจะมากไปแล้ว เดี๋ยวเจ๊ไม่สบายใจ(อันนี้เป็นเรื่องสมมตินะครับ เดี๋ยวโยมคิดว่าจริงไปอีก) สรุปก็คือพระอุปัชฌาย์เริ่มทอดทิ้งศิษย์ตนเองจากการส่งเสริมให้ศึกษาและปฏิบัติ เห็นภาระกิจทางโลกคือการหามวลชนมาทำบุญ การสร้างวัตถุมากกว่าการให้ปัญญาคน(รวมทั้งตนเอง) ดังนั้นการออกบวชของพระพุทธเจ้าและการฝึกฝนเร่งความเพียรที่จะเป็นแบบอย่างแก่พุทธบริษัทจึงไม่มีความหมายเนื่องจากไม่มีใครกระตุ้นให้เดินตามรอยนั้นฯ
      อีกอย่างครูอาจารย์สายกรรมฐานหรือแม้สายการศึกษา(ไม่ใช่ทั้งหมดแต่เกือบ...อันนี้เป็นประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาเองในหลายโอกาส)พยายามดึงลูกศิษย์ไว้ไม่ให้ออกไปไหน แม้ศิษย์จะเห็นว่าการปฏิบัติอยู่กับอาจารย์จะไม่ก้าวหน้าก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่คล้ายกับสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าหรือพระอัครสาวกคือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะต่างก็ถูกฉุดรั้งไม่ให้ออกไปนอกสำนัก แต่คนเหล่านั้นก็หนีไปจนได้ เหตุผลที่ครูอาจารย์ชอบยกมาอ้างคือ “ตอนนี้อาจไม่ได้ผล แต่สักพักจะดีเอง,  เจ้าเป็นคนมีความสามารถ หากได้อยู่ด้วยกันที่นี่จะสามารถสร้างความยิ่งใหญ่(เกียรติยศให้กับสำนัก)ได้ในอนาคต, บางท่านถึงกับสาบแช่งเลยหากจะไปจากตนเช่น ท่านไม่มีวันประสบความสำเร็จหากไม่มีข้า” เป็นต้น ทำให้กระผมต้องมานั่งคิดถึงคำเหล่านี้...เอ้ หรือจะเป็นไปได้ที่เรายังไม่บรรลุสักที เพราะออกมาจากสำนักอาจารย์ผู้เลิอเลิศเช่นนี้นี่เองฯ ความจริงเหตุผลที่ยกมานี้ล้วนส่อเจตนาอยู่ในตัวก็ไม่น่าจะอธิบายกันอีก หากไปศึกษาเรื่องสัญชัยปริพาชก อาจารย์ของพระสารีบุตรและโมคคัลลานะจะเข้าใจชัดเจนขึ้นฯ อย่างไรก็ตามมิได้หมายความว่าครูอาจารย์ที่ห้ามจะไม่ดีเลย หากศิษย์จะไปทำสิ่งไม่ดีหรือล้มเลิกการปฏิบัติแล้วห้ามนั้นดีมาก แต่สำหรับคนที่ตนเองก็ปฏิบัติไม่ได้ผล แล้วยังรั้งผู้อื่นไว้ให้อยู่กับตนเพื่อสร้างกระแส สถาปนาตนเป็นเกจิอาจารย์ เอาสถิติพระและญาติโยมไปแข่งกับสำนักอื่นฯลฯ อย่างนี้พึงทราบว่าควรหนีเสียให้ไกลร้อยโยชน์  
      เมื่อพระโพธิสัตว์(เจ้าชายสิทธัตถะ)ออกจากสำนักอาจารย์ทั้งสอง ได้ตัดสินใจบำเพ็ญทุกกรกิริยาโดยมีปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ติดตามเฝ้ารับใช้ ประกอบด้วย ท่านโกณทัญญะ (อดีตศาสตราจารย์ที่เคยเข้าร่วมทำนายอนาคตของกุมาร) วัปปะ ภัททิยะ มหานามะและอัสสชิ เหตุที่ท่านโกณทัญญะต้องถึงกับลาออกจากมหาวิทยาลัย สละตำแหน่งทั้งหลายลงด้วยเชื่อมั่นว่าพระโพธิสัตว์จะสามารถบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จึงได้ชักชวนลูกหลานพราหมณ์แก่ที่เหลือมาร่วมอุดมการณ์ด้วย ที่สำคัญหากตนได้ดูแลใกล้ชิดเมื่อพระองค์สำเร็จเข้าจริงจะสามารถแสดงธรรมโปรดพวกตนได้ก่อนฯ เป็นที่ตั้งข้อสงสัยกันว่า ในเมื่อท่านโกณทัญญะมีความรู้มากมายขนาดนั้น ไฉนต้องมาคอยติดตามรับใช้พระโพธิสัตว์อยู่ ไม่เร่งรีบบำเพ็ญเพียรด้วยตนเองเล่า? แม้แต่ช่วงที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกกรกิริยาพวกดาบสทั้ง ๕ ก็ได้แต่นั่งชมการแสดงและปรบมือเป็นกำลังใจ ไม่ยอมลงมือทำไปพร้อมๆกัน?
      ประเด็นนี้คงตอบได้ยาก ได้แต่สันนิษฐานเอาว่า ปัญจวัคคีย์ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านโกณทัญญะน่าจะทราบดีหรือมีความเชื่ออยู่ว่า คนที่จะบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้โดยการแสวงหาหนทางด้วยตนเองนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ แต่เป็นเรื่องของบางคนที่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นและคงเห็นว่าน่าจะเป็นกิจของท่านสิทธัตถะมากกว่าไม่ใช่ของพวกตนฯ การกล่าวเช่นนี้ให้เข้าใจว่ามิใช่ความเชื่อเรื่องพระเจ้ากำหนดหรือพรหมลิขิต แต่เป็นการสร้างบารมีหรือพยายามขวนขวายด้วยตนเองซึ่งเป็นของปัจเจก ยกตัวอย่างง่ายๆคือทุกคนมีสิทธิเป็นนายก แต่ก็มิใช่ทุกคนจะได้เป็นนายก (เพราะขึ้นอยู่กับการขวนขวายส่วนตัวและการใช้เวลาปั้นตนเอง)
      แนวทางของการบำเพ็ญทุกกรกิริยานิยมสรุปกันเป็น ๓ ขั้นตอนใหญ่คือ การกัดฟันจนสุดแรง การกลั้นลมหายใจและการลดจำนวนอาหารจนถึงขั้นเหลือเพียงเมล็ดพืชฯ เหตุที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะในชมพูทวีปหรืออินเดียโบราณมีความเชื่อว่าคนจะพ้นทุกข์ได้ด้วยทุกกรกิริยาเท่านั้น ความจริงอินเดียสมัยพุทธกาลมีการแสวงหาทางพ้นทุกข์อยู่ ๒ วิธีหลักซึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ในธรรมจักกัปปวัตนสูตรนั้นคือ
๑.การปล่อยตัวไปตามอารมณ์ความอยาก หรือที่เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค นั่นคือเมื่อชีวิตมีความทุกข์มาก[15] วิธีที่ดีที่สุดคือหาความสุขมาเติมเต็ม กลบเกลื่อนให้ลืมความทุกข์เหล่านั้นเสีย เราอาจคิดว่าความเชื่อประเภทนี้ไม่มีแล้วในปัจจุบัน ความจริงยังมีอยู่เกลื่อน นั่นคือลัทธิ บริโภคนิยม(Consumerism)นั้นเอง คนส่วนใหญ่ไร้สติปัญญา ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงานก็ลืมจุดประสงค์หลักในการพัฒนาตนให้พ้นกิเลสไปเสีย แต่กลับใช้การเรียนและการทำงานเป็นเครื่องมือในการสนองกิเลสตนเองระยะยาว นั่นคือเมื่อประสบความสำเร็จ มีเงินทองก็ใช้ในทางมุ่งหาวัตถุ บ้าน รถ เครื่องใช้ต่างๆจนลืมไปว่าสุขอีกแบบคือสุขทางใจ เราอาจคิดว่าเมื่อแนวทางนี้น่าจะสะดวกสบายกว่า เหตุใดพระโพธิสัตว์ไม่เลือกทางนี้ในการหาทางพ้นทุกข์แทนการทรมานตนเอง? คำตอบก็คือเพราะพระองค์เคยบำเพ็ญทางนี้มาแล้วถึง ๒๙ ปี ขณะอยู่ในวังนั่นเองและทรงเห็นว่าเป็นการหนีความทุกข์ได้ชั่วคราวและยิ่งนานเข้ากลับเกิดความชินชาเบื่อหน่ายไม่น่ายินดี เราอาจเรียกจุดนี้ว่าเป็นจุดอิ่มตัว ตัวอย่างเช่นคนหน้าหม้อทั้งหลายที่เห็นกามเป็นเรื่องน่าพิสมัย หลายคนใช้เวลาหลายปีหมกมุ่นอยู่ในกามจนถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าเบื่อหน่าย ไม่มีอารมณ์อีก(ตายด้าน) มองสิ่งนั้นเป็นเรื่องธรรมดาหรือน่ารังเกียจถึงขั้นหายใจออกอย่างดังและอุทานมาว่า “พอกันที” แต่อย่างไรก็ตามการจะทำให้ตนเองรู้สึกพอกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากเช่นกัน ดังนั้นหากผู้ใดคิดจะเดินตามแนวทางนี้(ยิ่งไม่มีปัญญา)อาจเสี่ยงเกินไปจนถึงขั้นกลับหลังไม่ได้ ทางที่ดีคือพิจารณาให้เห็นโทษเสียแล้วกลับเข้าสู่ทางที่ถูกต้องจะดีกว่า ความจริงการบำเพ็ญตนหรือการดำเนินชีวิตตามหลักนี้สะท้อนถึงความเชื่อเรื่องภพชาติประการหนึ่งคือคนประเภทนี้ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า นรกสวรรค์ ชีวิตนี้มีหนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องสนใจความดีความชั่ว ใช้ชีวิตให้มีความสุขไปวันๆก็พอแล้วฯ
๒. การทรมานตนเองให้ลำบาก เรียกอีกอย่างว่า อัตตกิลมถานุโยค เกิดจากความเชื่อที่ว่าเมื่อชีวิตมีความทุกข์มาก เป็นความเชื่อเรื่องภพชาติว่าชีวิตมีหลายชาติ ดังนั้นอดีตอาจทำสิ่งไม่ดีมาจึงต้องประสบทุกข์เช่นนี้ก็ทำให้ชีวิตทุกข์แบบเต็มที่ไปเลย เมื่อถึงจุดหนึ่งความทุกข์จะได้หมดไปและจะมีแต่ความสุข จึงเกิดวิธีการทรมานตนเองขึ้น ความจริงเรื่องนี้มีบทสนทนาที่น่าสนใจอยู่ที่เป็นการปฏิเสธการบำเพ็ญทุกกรกิริยาของพวกนิครนถ์นักบวชนอกศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสเล่าแก่เจ้าศากยะมหานามะว่า
     ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้มี(เกิดมา)แล้วในกาลก่อนมิใช่ไม่ได้มีแล้ว? ดูกรท่านผู้มีอายุ หามิได้เลย (หมายถึงไม่ทราบเลย) นิครนถ์ตอบ.
     พระพุทธเจ้า. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ทำบาปกรรมไว้ในกาลก่อน มิใช่ไม่ได้ทำไว้? ดูกรท่านผู้มีอายุ หามิได้เลย นิครนถ์ตอบ
     พระพุทธเจ้า. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ทำบาปกรรมอย่างนี้บ้างๆ? ดูกรท่านผู้มีอายุ หามิได้เลย นิครนถ์ตอบ
     พระพุทธเจ้า. ดูกรนิครนถ์ผู้มีอายุ พวกท่านทราบละหรือว่า ทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว หรือว่าทุกข์เท่านี้เรายังต้องสลัดเสีย หรือว่าเมื่อทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว จักเป็นอันสลัดทุกข์ได้ทั้งหมด? ดูกรท่านผู้มีอายุ หามิได้เลย นิครนถ์ตอบ[16]
บทสนทนานี้พระพุทธเจ้าต้องการชี้ให้เห็นว่าความเชื่อที่จะต้องทำตนเองให้ลดจำนวนของทุกข์ลงหรือให้หมดทุกข์นั้นเป็นเรื่องเกินจินตนาการ ไม่ได้หมายความว่าศาสนาพุทธปฏิเสธเรื่องภพชาติหรือกรรมเก่า แต่พระพุทธเจ้าไม่ให้มัวแต่ไปติด/สนใจอยู่กับกรรมเก่าจนต้องตามแก้กันไม่หวั่นไม่ไหว (เราอาจเทียบกับชาวพุทธปัจจุบันเรื่องพวกชอบดูดวง แก้กรรมและสะเดาะเคราะห์ทั้งหลาย) แต่ให้รีบสร้างกรรมใหม่คือกรรมดีตามหลักมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น โดยสรุปคือการมัวแต่ทรมานตนเองให้ลำบากมีแต่จะตายเปล่าแลไม่เป็นการเปิดตนเองให้ค้นพบปัญญาที่แท้จริง แต่อย่างไรก็ตามวิธีดูสำหรับนักบวชแล้วก็ดูน่าพิสมัยกว่าวิธีแรก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่นิยมกันทั่วไปไม่เว้นแม้แต่พระโพธิสัตว์เองฯ
      ผลจากการบำเพ็ญทุกกรกิริยาทำให้พระโพธิสัตว์เจียนตายและต่อมาได้เลิกแล้วหันมาบำเพ็ญสมาธิและปัญญาแทน โดยได้ตรัสถึงผลที่พระองค์ประสบมาว่า
     เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อยนั่นเอง อวัยวะน้อยใหญ่ของอาตมภาพย่อมเป็นเหมือนเถาวัลย์มีข้อมาก หรือเถาวัลย์มีข้อดำฉะนั้น. ตะโพกของอาตมภาพเป็นเหมือนเท้าอูฐฉะนั้น. กระดูกสันหลังของอาตมภาพผุดระกะ เปรียบเหมือนเถาวัฏฏนาวฬีฉะนั้น. ซี่โครงของอาตมภาพขึ้นนูนเป็นร่องๆ ดังกลอนศาลาเก่ามีเครื่องมุงอันหล่นโทรมอยู่ฉะนั้น. ดวงตาของอาตมภาพถล่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประหนึ่งดวงดาวปรากฎในบ่อน้ำลึกฉะนั้น. ผิวศีรษะของอาตมภาพที่รับสัมผัสอยู่ก็เหี่ยวแห้ง ดุจดังผลน้ำเต้าที่ตัดมาสดๆ อันลมและแดดกระทบอยู่ก็เหี่ยวแห้งฉะนั้น. อาตมภาพคิดว่า จะลูบผิวหนังท้องก็จับถูกกระดูกสันหลัง คิดว่า จะลูบกระดูกสันหลังก็จับถูกผิวหนังท้อง. ผิวหนังท้องกับกระดูกสันหลังของอาตมภาพติดถึงกัน. เมื่ออาตมภาพคิดว่าจะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ  ก็เซซวนล้มลงในที่นั้นเอง. เมื่อจะให้กายนี้แลมีความสบาย จึงเอาฝ่ามือลูบตัว. เมื่ออาตมภาพเอาฝ่ามือลูบตัว ขนทั้งหลายมีรากเน่าก็หล่นตกจากกาย.[17]
      เมื่อปัญจวัคคีย์เห็นว่าพระองค์ทรงล้มเลิกความตั้งใจก็พากันโจทย์ว่าท่านละความพยายามหันกลับมาเป็นคนมักมาก(ในอาหารเป็นต้น)อีกแล้ว จึงตกลงเลิกปรนนิบัติพระองค์และพากันหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปล่อยให้พระองค์อยู่คนเดียว ซึ่งกลายเป็นข้อดีด้วยซ้ำที่หมดคนรบกวนสามารถบำเพ็ญสมาธิภาวนาได้เต็มที่      ตรงนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่โล้นมักเอาไปเป็นประเด็นหลอกชาวบ้าน คือเมื่อปฏิบัติธรรมกันไม่ค่อยคืบหน้าก็ให้กำลังใจ(บางครั้งถึงกับเป็นการบั่นทอนกำลังใจกันเลย)ว่า “เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งมีปัญญามากใช้เวลาบำเพ็ญอยู่ตั้งหลายล้านปี (๔ อสงขัยแสนมหากัป)หรือที่สั้นกว่านั้นคืออย่างน้อย ๖ ปี(พูดจากการบำเพ็ญทุกกรกิริยา) เราชาวบ้านสามัญธรรมดา สติปัญญาน้อยจะให้เห็นผลทันตานั้นคงไม่ได้” ความจริงการบำเพ็ญนานหลายล้านปีนั้นเป็นการบำเพ็ญตนเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า แต่การจะให้บรรลุธรรมคือพ้นทุกข์ทั่วไปไม่ต้องใช้เวนานานขนาดนั้นกลับต้องขึ้นอยู่กับความพยายาม อีกอย่าง ที่ว่าท่านสิทธัตถะใช้เวลาถึง ๖ ปีก็เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง เพราะเวลาเหล่านั้นล้วนใช้ไปกับการเดินทางผิด ทรมานตนเองฯ แต่เมื่อพระองค์กลับเข้ามาบำเพ็ญเพียรทางใจซึ่งพระองค์ก็สอนให้เราทั้งหลายทำเช่นนั้น พระองค์กลับใช้เวลาสั้นมากเพียงแค่หนึ่งวัน คือนับจากการถวายข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาแล้วพระองค์ก็ทรงอธิษฐานที่จะนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์และวันรุ่งขึ้นก็บรรลุธรรมได้เลยฯ ลองมาดูระยะหวังผลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นเครื่องยืนยันอีกทีว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน  หรือเมื่อยังมีอุปาทิ(กิเลส)เหลืออยู่ก็จะเป็นพระอนาคามี...(ร่นลำดับสั้นมาเรื่อยๆ) ๖ ปี, ๕ ปี, ๔ ปี, ๓ ปี, ๒ ปี, ๑ ปี, ๗ เดือน, ๖ เดือน, ๕ เดือน, ๔ เดือน, ๓ เดือน, ๒ เดือน, ๑ เดือน, ครึ่งเดือน,(และสุดท้าย) ๗ วันเขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือเมื่อยังมีอุปาทิ(กิเลส)เหลืออยู่ ก็จะเป็นพระอนาคามี ๑ ฯ[18]
เราอาจยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นจริงไฉนเราจึงต้องปฏิบัติธรรมกันนานแสนนาน เข้าโครงการปฏิบัติแบบเข้มข้น ๗ วันแล้วก็ไม่เห็นจะบรรลุ? กระผมใคร่จะขอแสดงความเห็นแบบผู้ที่ยังมิได้บรรลุเช่นกันว่า น่าจะมีเหตุผล/อุปสรรคใหญ่อยู่ ๒ ประการคือ
๑. เราเอง(หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย)ไม่มีความรู้จริงเรื่องพระศาสนา ตัวอย่างเช่นการจะทำให้ใจสงบได้ต้องรู้จักพิจารณากาย(กายานุปัสสนา)เป็นต้น เช่นขันธ์ห้าว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง แล้วเลือกยกคำว่าสังขารมา เราก็ไม่เข้าใจแล้วคิดว่ามันเป็นร่างกาย (ทั้งที่จริงเป็นการปรุงแต่ง ๓ ทางคือ บุญ บาป และอเนญชา) หรือวิญญาณ เราก็คิดว่าเป็นดวงจิตที่ล่องลอยไปโน้นไปนี้(บางท่านถึงกับแซวเล่นกันว่าถ้างั้นก็ช่วยกันตะคลุบหน่อย..จับเอามาใส่ขวนนี่!)ทั้งที่วิญญาณคือการรับสัมผัสระหว่างตากับรูป หูกับเสียงเป็นต้น การทราบเรื่องเหล่านี้สามารถสลายความเป็นตัวตนไปได้เพราะเมื่อทราบว่า เราเห็นภาพได้ต้องอาศัยตาและรูปมาประกอบกัน ทุกอย่างต้องอาศัยเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น มิใช่เป็นตัวตน(อัตตา)ที่สมบูรณ์เบ็ดเสร็จอยู่ในตัว เมื่อต้องอาศัยปัจจัย ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุและปัจจัย มิใช่ความปรารถนาของเราเอง(อนัตตา) หรือให้ชัดกว่านั้นก็จะเห็นว่า รูป ก็มีการเปลี่ยนแปลง ตาเราเองก็มีการเปลี่ยนแปลง(ไปสู่การแตกดับ) ล้วนไม่น่าอภิรมณ์รักใคร่หรือยึดมั่นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้งดงามสืบไปหรือต้องเป็นของเราฯ สรุปสั้นๆว่า เราส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เหล่านี้เลย สักแต่ใส่ชุดขาว (ตราจาละวัน) แบกปิ่นโตเข้าวัด หรือเข้าร่วมนั่งสมาธิเพื่อได้นิพพานคือเมืองแก้วในจินตนาการและติดตามพระพุทธเจ้าหรือพระป่าของเราไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง ให้สังเกตว่าแค่พูดถึงปัจจุบันก็ชัดเจนมากแล้วโดยไม่ต้องไปอ้างถึงอดีตเป็นแสนอสงขัยเลยฯ
๒.หลายคนมีความรู้ชัดเจนแล้ว ซึ่งก็น่าจะบรรลุธรรมได้ แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องของ วิริยวาที คือต้องลงมือทำเอาจริงเอาจัง สังเกตได้จากแม้ในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ยกมา พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนที่จะบรรลุธรรมต้องเจริญ(ปฏิบัติ)อยู่ตลอด ไม่ใช่วันละ ๑๐ นาทีก่อนนอน หรือตอนถูกภรรยาด่าใหม่ๆ การทำอย่างนี้ไม่ใช่จะไม่มีผลเลย แต่เป็นการกระทำที่ไม่ติดต่อ จึงสู้กับกิเลสที่โถมเข้ามาตลอดเวลาไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า แม้รับประทานอาหาร ตลอดจนถ่ายปัสสาวะ อุจจาระก็ต้องดำรงสติไว้ฯ เราจะเห็นว่าผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ก็มิได้ทำเช่นนี้เลย หากเข้าโครงการปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้นดังที่กล่าวมา ถ้าเป็นเวลาพัก(ซึ่งอาจมีอยู่สั้นมาก)ผู้ปฏิบัติจะลืมตัว ดีใจจนขั้นหายใจออกทางปากโดยมีเสียงเบาๆว่า “อ่า” บางคนถึงกับใช้เวลาที่มีรีบวางศีรษะลงบนหมอนหรือที่พบเห็นกันทั่วไปคือใช้เวลาน้อยให้มีค่าที่สุดโดยการกล่าวชมวิทยากรว่า “ดูสิ! โคตรเหนื่อยเลย มันจะมาฝึกหรือจะมาฆ่ากันแน่วะ” ที่ยกมานี่เพียงต้องการชี้ให้เห็นว่าช่วงเวลาเหล่านี้ล้วนเป็นช่วงที่เราลืมตัวขาดสติตามรู้ทั้งสิ้น (ห้ามเถียงนะว่า “ก็รู้ว่ากำลังนินทาคนอยู่”) หรือแม้แต่พระภิกษุเอง จะหาผู้มีความรู้เข้าใจเรื่องสังขารเป็นต้นก็น้อยแล้ว ผู้มีความรู้นั้นจะสนใจการปฏิบัติก็น้อยลงไปอีกครึ่ง ส่วนผู้มาปฏิบัติแล้วจะดำรงสติให้สืบต่อเช่นนั้นก็คงเหลืออยู่สองสามหน่อฯ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการปฏิบัติธรรมจึงไม่ค่อยเห็นผลฯ แต่หากเราเล็งเห็นอุปสรรคทั้งสองข้อที่กล่าวมาและหลีกเลี่ยงเสีย โดยใช้เวลาศึกษาและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง เชื่อว่าพระนิพพานต้องอยู่ในมือทุกท่านแน่ (เป็นกำลังใจให้นะ)  ความจริงการก้าวพ้นวัฏสงสารหรือการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนที่สุด แม้พระองค์เองก็เคยตรัสว่าที่เกิดมาเพราะเห็นว่าโลก(สรรพสัตว์)ยังต้องเวียนว่ายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีความทุกข์ พระองค์ก็ไม่จำเป็นต้องมี มาดูพระดำรัสพระองค์เองดีกว่า
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย (หาก)ธรรม ๓ ประการนี้ ไม่พึงมีในโลก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่พึงบังเกิดในโลก ธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศไว้แล้วจะไม่พึงรุ่งเรืองในโลก ๓ ประการเป็นไฉน คือ ชาติ ชราและ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรม ๓ ประการนี้มีอยู่ในโลก ฉะนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบังเกิดในโลก ธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศไว้จึงรุ่งเรืองในโลก
     ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละชาติ ชรา มรณะได้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย...บุคคลไม่ละธรรม ๓ ประการแล้ว ก็ไม่อาจละราคะ โทสะ โมหะได้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑...[19]
      จากเนื้อความที่ยกมานี้ อาจารย์บางท่าน(มี พระมหาโอทก อริยปคุโณ เป็นต้น)จึงกล่าวว่า ศาสนาพุทธไม่ได้ต้องการคนไทย คนฝรั่ง หรือพม่า แต่ศาสนาพุทธเหมาะกับผู้ที่ยังต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย และยังไม่มีวิธีก้าวพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ผู้ใดประสงค์จะพ้นจากสิ่งเหล่านี้ (โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาประกาศว่าตนเป็นชาวพุทธ)แต่ขอให้ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อความพ้นทุกข์กันเถิดฯ
ความต่างระหว่างพระเจ้ากับพระพุทธเจ้า
      มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทราบถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้มีทัศนะท่าทีที่ถูกต้องกับคำ/สิ่งเหล่านี้ โดยความรู้สึกพื้นฐานคำว่าพระเจ้า หรือเจ้าล้วนเป็นการแสดงถึงผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ สามารถกำหนดหรือควบคุมกฎเกณฑ์สิ่งต่างๆได้โดยในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Lord ซึ่งก็ตรงตามความหมายของพระเจ้าในหลายศาสนาอยู่แล้ว นั่นคือพระองค์เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เป็นผู้สร้างโลก ควบคุมชะตากรรมมนุษย์ฯ ซึ่งเต็มไปด้วยยศ อำนาจ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมหรือต่อรองได้ เพราะหน้าที่เหล่านี้ การจะยกย่องพระองค์จึงคู่ควรกับคำว่า Lord นั้นอย่างมาก ความจริงแม้พระพระพุทธเจ้าเองในหลายที่ก็ถูกเรียกว่า Lord แต่มีนัยยะที่แตกต่างกันคืออำนาจหรือความเป็นใหญ่ของพระพุทธเจ้ามิได้เป็นอำนาจที่มาตั้งแต่เกิด แต่เป็นอำนาจที่บ่มเพาะหรือแสวงหาด้วยตนเอง(ตรงกันข้ามกับพระเยซูซึ่งเป็นบุตรพระเจ้า) อีกอย่างพระพุทธเจ้าเองมิได้เป็นผู้ควบคุมกฎหรือสร้างกฎขึ้นมา เช่นโลกจะหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือคนเกิดมาแล้วต้องตายเป็นต้นล้วนมิได้เกิดจากอำนาจพระพุทธเจ้า เพราะแม้พระองค์เองก็ต้องเป็นไปตามกฎนี้ พระองค์เป็นแต่เพียงคนที่มาเข้าใจกฎเข้าคือสามารถอยู่กับโลกได้โดยไม่ต้องสุขทุกข์ขึ้นลงไปตามภาวะของโลกและเปิดเผยสังธรรมนั้นแก่มนุษย์เป็นต้นเท่านั้นเอง ด้วยสติปัญญาและความกรุณานี้ซึ่งถือเป็นคุณูปการใหญ่ในการทำให้คนพ้นจากทุกข์โดยไม่ต้องไปกราบเท้าอ้อนวอนพระเจ้าฯ แต่ใช้ความสามารถและปัญญาตัวเองในการเอาชนะกิเลสความอยากรวมถึงความโง่เขลาไปได้ พระองค์จึงถูกเปรียบเสมือนครูผู้ชี้ทาง เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่ผู้หลงทาง เหตุนี้เองจึงได้ชื่อว่า Lord เช่นเดียวกัน
อีกอย่างอาจเทียบจากการสังเกตศัพท์แบบง่ายๆคือพระเจ้าเป็นใหญ่เพราะมีสิทธิอำนาจมาก (ในกรณีที่เรายังไม่ถกกันเรื่องข้อเท็จจริง) แต่พระพุทธเจ้ามิได้เป็นใหญ่ขึ้นมาเฉยๆ ตามศัพท์ยังมีอีกตัวหนึ่งคือ พุทธะ หมายถึงเป็นใหญ่ได้เพราะมีปัญญา เทียบง่ายๆกับปัจจุบันระหว่างข้าราชการสองคน คนหนึ่งเข้าบรรจุได้เพราะสอบ ส่วนอีกคนเป็นเด็กฝากลูกรัฐมนตรีฯ
      เมื่อพระองค์บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าแล้วผู้ที่พระองค์เลือกที่จะแสดงธรรมโปรดคืออาจารย์ทั้งสองที่เคยศึกษาด้วย แต่เพราะท่านเหล่านั้นตายไปก่อนแล้วจึงตัดสินใจโปรดปัญจวัคคีย์ เริ่มแรกท่านเหล่านั้นล้วนไม่เชื่อว่าพระองค์จะบรรลุธรรมได้เพราะทิ้งวิธีทรมานตนไปเสียแต่สุดท้ายก็ยอมรับฟังธรรมและได้รับประโยชน์จากพระธรรมนั้นกลายเป็นพระสงฆ์สาวกชุดแรกของพุทธศาสนาไป ซึ่งมีข้อความที่พระองค์ตรัสเล่าเองว่า
     พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ได้เห็นเราเดินทางมาแต่ไกลจึงได้นัดหมายกันว่า ท่านพระสมณโคดมพระองค์นี้ที่เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากกำลังเสด็จมา พวกเราไม่ต้องไหว้ ไม่ต้องลุกขึ้นยืนรับ ไม่ต้องรับบาตรจีวร แต่ว่าต้องปูอาสนะไว้ ถ้าทรงปรารถนาก็จักประทับนั่ง. เมื่อเราเข้าไปใกล้ พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ในข้อนัดหมายกัน คือบางรูปลุกขึ้นรับบาตรจีวร บางรูปปูอาสนะ บางรูปตั้งน้ำล้างเท้า แต่พูดกับเราโดยระบุนามและใช้คำพูดว่า "อาวุโส" เราจึงบอกภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้พูดกับตถาคตโดยระบุนาม และใช้คำพูดว่า "อาวุโส" ตถาคตได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธ พวกเธอจงเงี่ยโสตลงสดับ เราจะสอนอมฤตธรรมที่เราได้บรรลุ เราจะแสดงธรรม เมื่อพวกเธอปฏิบัติตามที่เราสอน ไม่นานนัก ก็จักกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรผู้ออกบรรพชาโดยชอบมุ่งหมายในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง.[20]
      พระธรรมที่พระองค์แสดงครั้งแรกเป็นการประกาศลบล้างหลักการผิดพลาด ๒ ประการที่อธิบายแล้วคือการทรมานตนเองและการมุ่งแสวงหาแต่ความสุขภายนอก โดยให้ทางออกอันเป็นทางสายกลางหรือทางที่ประเสริฐว่าเป็นทางที่ไม่ตึงและหย่อนเกินไป หมายความว่าใช้วัตถุหรือปัจจัยภายนอกมาค้ำชู/จุนเจือร่างกายได้โดยให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่มุ่งหาความสงบหรือปัญญาภายใน พระองค์ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาที่ถูกจุดตามแนวอริยสัจ ๔ คือพิจารณาให้เห็นทุกข์และละเว้นเหตุอันจะก่อให้เกิดทุกข์ โดยการก้าวสู่ความสุขตามแนวทางของมรรคมีองค์ ๘ (อันนี้อาจยังงงอยู่บ้างแต่จะอธิบายให้ชัดเจนในหัวข้อถัดไปเรื่อง พระธรรม) ผลที่ได้รับคือท่านโกณทัญญะหนึ่งในปัญจวัคคีย์(หรืออดีตศาสตราจาย์ของพวกเรา)เกิดความเข้าใจธรรมะ(บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน)และการสนทนาธรรมก็เลื่อนไปหัวข้ออื่นๆจนในที่สุดทุกท่านก็มีปัญญาพ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์กันถ้วนหน้า พระองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมด ๔๕ ปีในการประกาศธรรมจากนั้นก็ปรินิพาน(เผื่อมีคนไม่รู้ความหมาย...ตายงัย) เรื่องราวจบง่ายไปป่าวเนี่ย?
พระพุทธรูปนั้นสำคัญไฉน?
เรื่องราวของพระพุทธรูปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการถกเถียงกันกระทั่งกลายเป็นปัญหาที่มี่ใครอยากกล่าวถึงอีกเพราะกลัวคนฟังจะไม่เห็นด้วยกับตนและถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่ชาวพุทธบ้างหรือเชื่อถือแบบงมงายบ้าง ที่มาของพระพุทธรูปสันนิษฐานกันว่าน่าจะมีแบบออกหน้าออกตาช่วงที่กษัตริย์กรีกบุกยึดอินเดีย เพราะตามความเชื่อของกรีกมีการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ แม้เวลาไปรบก็ต้องเอาเทพเจ้าเหล่านั้นไปด้วย (บางคนบอกทำไปถ่วงเรือไม่ให้จมและง่ายกับการบังคับเฉยๆ โดยยกตัวอย่างตุ๊กตาวัดโพธิ์เป็นต้นที่มีรูปร่างสวยงาม แต่งตัวแบบชาวจีน ได้มาตอนสมัยยังใช้สำเภาบรรทุกของจากจีนมาขึ้นฝั่งที่นี่ แต่การจะยกหินมาวางถ่วงไว้เฉยๆมันไม่ได้สุนทรียภาพและหากจะทิ้งไว้ให้เพื่อนบ้านก็อาจโดนด่าตามหลังว่ามาเอาแต่เนื้อ ทิ้งก้างไว้ให้ตามเก็บฯ ฉะนั้นเพื่อทำให้หินถ่วงน้ำหนักมีค่าก็พากันแกะให้เป็นรูปต่างๆ สัตว์บ้าง คนบ้าง เมื่อดูแล้วมีราคามากขึ้นไม่เหมือนกับขยะทั่วไปที่ทิ้งไว้เกลี่อนกลาด ความจริงคำพูดนี้ก็น่าพิจารณาอยู่แต่ดูเหมือนจะสุดโต่งไปนิดหนึ่งเหมือนกัน บางทีคนจีนเขาอาจมีความตั้งใจแกะมาฝากคนไทยโดยเฉพาะก็ได้...ต้องพูดให้กำลังใจหน่อย เวลาไปวัดโพธิ์จะได้ไม่โกรธจนหน้าเขียวเหมือนตุ๊กตายักษ์) คัมภีร์ทางพุทธศาสนาเล่มหนึ่งคือ มิลินทปัญญหา ถึงกับบันทึกไว้ว่ากษัตริย์กรีกองค์นี้ซึ่งชำนาญในการโต้วาทีมาก ชนะนักบวชทั้งหลายในสมัยนั้น ภายหลังได้ขึ้นเวทีรุ่นเอฟวี่เวทเจอกับพระนาคเสน ส่งเข้าแข่งขันโดยพุทธศาสนา โดนพระนาคเสนน็อคทุกยก สุดท้ายได้มีศรัทธาเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา มีการเลี้ยงภัตตาหารพระและ(อาจ)สร้างพระพุทธรูปโดยเลียนแบบเทพเจ้าขึ้นมาเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าด้วย
      อย่างไรก็ตามให้ทราบก่อนว่าเริ่มแรกจุดประสงค์ของการสร้างพระพุทธรูปก็เพื่อให้ชาวพุทธหรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาธรรมะมากพอสมควรนึกถึงพระพุทธเจ้าและคำสอนที่พระองค์เคยสอนเมื่อได้เห็นรูปของพระองค์ ความจริงยุคแรก(ตั้งแต่พุทธกาลจนปรินิพพานใหม่ๆ)ไม่มีการสร้างรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าเลย อาจด้วยเหตุผลที่ว่ารูปจำลองไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนองค์จริง ยุคแรกจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างสัญลักษณ์มาแทนพระองค์โดยอาศัยสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาเป็นตัวเชื่อมต่อหรือบริบทในการอธิบาย เช่น จะบอกว่านี่คือภาพเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ก็แทนด้วยภาพพระนางสิริมหามายายืนจับกิ่งสาละ หรือ ดอกบัว ๗ ดอก(ที่เชื่อว่าเดินได้ ๗ ก้าวโดยมีดอกบัวรองรับ) หรือภาพตรัสรู้ ก็ทำเป็นภาพของต้นโพธิ์ ภาพแสดงธรรมจักรฯก็เป็นภาพกวางหมอบหรือบางคนว่ากวางเหลียวหลัง ความจริงชื่อหลังนี้ฟังแล้วทำให้คิดมากอยู่ แต่อาจารย์ท่านหนึ่ง (Soran Lasovic) อธิบายว่า เพราะเป็นการปาฐกถาหรือแสดงธรรมครั้งสำคัญมาก(เกี่ยวกับการพ้นทุกข์) แม้กวางที่ชอบวิ่งหนีคนแบบไม่คิดชีวิต กลับยังต้องให้ความสำคัญคือหยุดวิ่งแล้วเหลียวหลังมาฟังฯ ภาพปรินิพพานก็แสดงออกมาเป็นต้นรังคู่แล้วมีเตียงอยู่ตรงกลาง(โดยไม่มีผู้ป่วย)ฯลฯ จะเห็นว่าไม่มีภาพพระพุทธเจ้าปรากฎอยู่ ทำนองเดียวกันกับอิสลาม หากเราดูหนังที่เกี่ยวกับท่านศาสดามูฮัมหมัด จะไม่ปรากฎภาพท่านเลยอาจจะโดยเหตุผลเดียวกันคือไม่มีใครที่คู่ควรจะรับบทบาทที่สูงส่งเช่นนั้น เมื่อพิจารณาถึงบทบาทนี้ ทำให้คิดถึงหนังของพุทธศาสนาเรื่องหนึ่งที่พระเอก(แสดงเป็นพระพุทธเจ้า)หน้าตาดีมาก ต่อมาช่วงก่อนหนังจะออกโรงไม่นาน ปรากฎว่าพระพุทธเจ้าคนนั้นก็ไปถ่ายหนังโป๊ สื่อออกมาโจมตีกันหนาหูว่าไม่ควรเอาหนังเรื่องพระพุทธเจ้านั้นออกมา เพราะเวลาคนดูแทนที่จะได้บุญกลับจะนึกถึงแต่ฉากประทับใจของพระเอกคนนั้นในอีกเรื่องหนึ่งฯ
      อาจสรุปได้ว่าการสร้างพระพุทธรูปมีจุดประสงค์เพื่อแสดงภาพในอดีต(ว่าพระองค์ทำอะไร ที่ไหน กับใคร)และย้อนนึกถึงธรรมะที่พระองค์สอน ซึ่งต่างกับการบูชาเทพเจ้าหรือไม้กางเขนในศาสนาอื่นๆที่หวังการอ้อนวอน หวังผลดลบันดาล หรือขอพระราชทานอภัยโทษเป็นต้นฯ ดังนั้นการกราบไหว้เพื่ออ้อนวอนจึงเป็นการผิดหลักการของพุทธศาสนาและไม่เกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับผู้กราบไหว้บูชาฯ
      ครั้งหนึ่งกระผมได้มีโอกาสถกกันกับอาจารย์ท่านหนึ่ง(ชอบร้องเหมือนนกเขาว่า...กูเป็นพระครู)โดยท่านกล่าวตำหนิพระเกษม อาจิณฺณสีโล ที่ออกว่าห้ามเรื่องการกราบไหว้พระพุทธรูปซึ่งอาจารย์เกษมใช้คำว่า “นี่เป็นแค่โลหะ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า...อย่าไปกราบมัน” ทำเอาพระนกเขารูปนี้ทนไม่ได้และเมื่อทราบว่ากระผมพูดในทำนองเห็นด้วยกับท่านเกษมจึงมาเยี่ยมถึงที่ด้วยมิตรภาพของการปรองดอง
      นกเขา...ผมว่าท่าน(พระเกษม)ทำเกินไป เป็นชาวพุทธอย่างงัยไม่ไหว้พระพุทธเจ้า?
      นกกระจอก...ก็ถูกแล้วนี่ครับ เป็นโลหะ...ไหว้แล้วมัวแต่หวังผลดลบันดาลจะได้อะไร      ครับ? (ผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าทำไมกระผมจึงใจไม้ใส้ระกำขนาดนี้ พูดยั่วอารมณ์ท่าน  เฉยๆครับ)
      นกเขา...ก็ใครบอกว่าเราเอาแต่กราบไหว้อ้อนวอนอย่างเดียวละ? แม้แต่ผมเอง(ท่าน      นกเขา)ก็กราบ      เพื่อนึกถึงพระคุณของท่านเหมือนกัน
      นกกระจอก...ก็ไอ้ที่นึกถึงคุณนั้นนะท่านงัยครับ...ชาวบ้านเขาเอาแต่จุดธูปอ้อนวอน
      นกเขา...อย่างงัยก็ตาม ถ้าเรายังมีพระพุทธรูปเป็นที่พึ่งที่ระลึกอยู่ การจะทำความชั่วก็   ทำลำบากขึ้น ท่านลองนึกภาพดูสิว่าถ้ามีพระพุทธรูปอยู่ทุกที่ ท่านจะกล้าทำชั่วไหม?
      นกกระจอก...(พูดตรงๆ เริ่มทนไม่ไหวแล้ว เพราะยังไม่ได้กินน้ำเลย) แล้วเวลาที่ท่าน    หลอกชาวบ้าน หาแต่เงินบริจาค ไม่ยอมพูดเรื่องบุญที่แท้จริงคือการเสียสละช่วยเหลือ  ผู้อื่น รักษาศีลและเจริญปัญญาละ? ให้ถวายแต่กับตนเองและพวกโล้นอย่างเดียว ท่าน      ไม่ทำต่อหน้าพระพุทธรูปหรอ?
      นกกระจอก...เมื่อท่านยังเงียบอยู่ จึงรับซัดต่อไปว่า... การจะนึกถึงคุณพระพุทธเจ้าได้   ผู้เห็น(พระพุทธรูป)จะต้องมีความรู้เรื่องสาระธรรมที่ท่านสอนระดับหนึ่งแล้วครับ ถ้าไม่ มีความรู้ก็ไม่ต่างอะไรกับการนึกถึงท่านทักษิณ ท่านชวนฯ มันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม     ตัวเองไม่ได้ อีกอย่างหากท่านต้องการจะระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าจริง มันไม่จำเป็น      ต้องกราบเท้าพระพุทธเจ้าหรอก แม้แต่อ่านพระไตรปิฎกหรือปฏิบัติธรรมก็นึกถึง    พระพุทธเจ้าได้ และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราทำมากกว่า ข้อเสียของ    พระพุทธรูปคือ เริ่มแรกต้องใช้เงินมหาศาลในการสร้าง (แม้ท่านจะหลอกคนว่าได้บุญ     ใหญ่ก็ตาม) แต่เงินเป็นแสนเป็นล้าน หากเอามาพิมพ์พระไตรปิฎกหรือซีดีธรรมะแจก ชาวบ้านจะมีประโยชน์ขนาดไหน เรื่องเหล่านี้ท่านไม่เคยเห็นความสำคัญเลย คิดแต่จะ     ทอดกฐินสร้างโบสถ์ สร้างพระฯลฯ ถามจริงเหอะ ความรู้ที่เรียนมาท่านไม่เคยคิดจะ     เอามาพัฒนาสังคมบ้างหรอครับ?
      ปรากฎว่าท่านก็ยอมรับแล้วเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นต่อฯ อีกเรื่องที่อยากยกมาให้ดูคิดว่าบางทีการอ่านจากประสบการณ์จริงก็ทำให้เข้าใจง่ายเหมือนกัน
      ครั้งหนึ่งสมัยเรียนปริญญาตรี มีการชุมนุมใหญ่ของสองสีคือเหลืองกับแดง นักศึกษาส่วนใหญ่(ที่ยังพอมีสติสัมปชัญญะ ไม่ถึงกับต้องเดินเช็ดน้ำลายหรือติดเกมส์จนงอมแงม)ล้วนหาที่พึ่งคือหาฝักฝ่ายในการสังกัด เพื่อนคนหนึ่งเป็นแดงแจ๋ที่ออกหน้าออกตา จะเข้ามาคุยกับอีกกลุ่มก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นเหลือง จึงไปหาเพื่อนคนซึ่งเป็นพระมหายาน พกหนังสือเล่มหนึ่งคือ “ชำแหละจำลอง” ไปให้อ่านเพื่ออ้างอิงหลักฐาน ประเด็นหนึ่งที่น่าจะทำให้พันธมิตรฯไม่น่าศรัทธาได้คือการมีสันติอโศกมาเป็นกองทัพธรรมหนุนหลัง และในลัทธินั้นเอง ครั้งหนึ่งมีการเอาพระพุทธรูปออกจากวัด สนับสนุนไม่ให้คนกราบไหว้แต่ให้มาศึกษาพระไตรปิฎกแทน ปรากฎว่าเมื่อท่านมหายานเอาไปอ่านแล้ว (ต้องเข้าใจว่าพุทธฯมหายานที่แท้ต่างกับศาสนาพุทธที่คนจีนนับถือ นั่นคือไม่ใช่การไหว้เทพเจ้า แต่เป็นการใช้ความคิด/ปัญญาเข้าถึงสัจธรรมที่เรียกว่าสุญญตาหรืออนัตตาในเถรวาทนั่นเอง) ท่านก็มาพูดกับพระจีวรแดงนั้นว่า “ก็ถูกแล้วนี่ครับ เพราะการไหว้พระพุทธรูปทำให้คนมองไม่เห็นพระพุทธเจ้าที่แท้คือตัวรู้(พุทธภาวะภายใน) ไปติดกันอยู่แค่ทองเหลืองภายนอก ยิ่งกราบไหว้ก็ยิ่งโง่งมงายมากขึ้น เซ็นเขายังบอกว่าให้ฆ่าพระพุทธเจ้าทิ้งด้วยซ้ำ(หมายถึงฆ่าความยึดมั่นในรูปขันธ์ร่างกาย เน้นไปที่องค์ธรรมหรือการปล่อยวาง) ผมว่าสันติอโศกทำถูกแล้ว” ผลออกมาคือผิดคาด นอกจากจะไม่ได้เพื่อนเป็นแดงแล้ว บางคนที่ยังก้ำกึ่งเลือกไม่ถูกเมื่อฟังดังนั้นก็มาเป็นเหลืองเพิ่มขึ้นฯ (ให้เข้าใจว่าการถกเถียงของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ไม่เรียนเรื่องการเมืองฯโดยตรงไม่ได้ครอบคลุมทุกประเด็นหรือเต็มไปด้วยอุดมการณ์เหมือนผู้ชุมนุมกลางท้องถนน) ความจริงมีบทความในพระไตรปิฎกที่กล่าวโดยพระวักกลิ(ภิกษุที่ดูคล้ายเป็นโรคจิตถ้ำมอง คือชอบไปแอบดูพระพุทธเจ้าเนื่องจากพระองค์หล่อสมาร์ทมาก แต่ต่อมาก็ได้บรรลุธรรม)ซึ่งชอบอ้างอิงกันมาให้พิจารณาด้วย
     ครั้งนั้นพระพิชิตมารทรงทราบว่า เรายินดีในพระพุทธรูป(ร่างกายที่งดงามของพระพุทธเจ้า) จึงได้ตรัสสอนเราว่า อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย[21]
      ภาษิตนี้ต้องการชี้ว่าการยึดติดอยู่กับรูปหรือร่างกายล้วนไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้มัวแต่เฝ้ามองหรือกราบไหว้โดยไม่ใช้เป็นเครื่องพิจารณาให้เห็นความเปลี่ยนแปลงแตกดับ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน พึงทราบว่าข้าพเจ้ามิได้ปฏิเสธการไหว้พระพุทธรูป เพราะหากผู้ใดประสงค์จะไหว้ก็สามารถทำได้ แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการน้อมเอาพระจริยวัตร สาระธรรมคำสอนมาใส่ตนเพื่อพัฒนาตนเองจนไปถึงจุดที่พ้นจากทุกข์ให้ได้(แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้องมีความรู้เรื่องพระองค์และสาระธรรมระดับหนึ่งแล้ว) เพราะหากจะกราบไหว้เพียงเพื่อขอพรหรือความสบายใจ พระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปเองก็มีค่าน้อยเกินไปเหมือนภาษิตที่ยกไว้ก่อนแล้วว่าเหตุที่พระองค์ต้องมาเกิดตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามิใช่เพื่อแค่ให้มนุษย์มีที่พึ่งทางใจ(เพราะถ้าจะกล่าวแค่แง่นั้น ปลัดขิกก็เป็นที่พึ่งให้ได้ แฟนก็เป็นที่พึ่งทางใจได้ฯลฯ) แต่การมาของพระพุทธเจ้าเพื่อทำให้คนพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตายหรือสังสารวัฎ หากเราไม่ยอมศึกษาคำสอนพระองค์หรือปฏิบัติธรรมตามที่ทรงแนะนำไว้ การจะพัฒนาตนก็เกิดขึ้นไม่ได้ จะมีแต่การกราบไหว้ เคารพ อ้อนวอนและเปล่งอุทานว่าตนเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า ทั้งที่กราบไหว้เสร็จแล้วแทนที่จะไปปฏิบัติธรรม กลับไปซื้อหวย เล่นการพนัน ทานข้าวกับกิ๊ก ลอยกระทงฯลฯก็จะกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้ ซึ่งการพูดเช่นนี้อาจยังไม่กระจ่างพอสำหรับผู้ครองเรือนหรือโล้นที่หลอกให้ผู้อื่นบริจาคเงินทำบุญอย่างเดียว แต่กระผมเชื่อว่าหากเราลองศึกษาพุทธศาสนาจริงจังมากขึ้น ใช้เวลาที่นั่งเขียนผลงานเลื่อนสมณศักดิ์หรือนินทาชาวบ้านมาเป็นการเดินจงกรมนั่งสมาธิ คงไม่นานแน่ที่เราจะเห็นว่าการกราบไหว้/การสร้างพระพุทธรูปเป็นเรื่องไร้สาระสู้สาระธรรมของพระองค์ไม่ได้เลย แม้เข้าใจถึงขั้นนี้แล้วโล้นทั้งหลายก็ยังสนับสนุนให้มีการจัดงานปลุกเสกพระ(พุทธาภิเษก) อาจเป็นไปได้ว่าสามารถจูงใจคนได้มากกว่าการเรียกให้มาฟังปาฐกถา หรือนั่งสมาธิภาวนาและยังมีรายรับมากกว่าหลายเท่าตัว จนมีการถามคำถามแซวกันเล่ยว่า ในโลกนี้ประเทศไหนดินราคาแพงที่สุด? ส่วนใหญ่มักตอบกันว่า “อเมริกา ฝรั่งเศสอังกฤษหรือญี่ปุ่น” แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ “เมืองไทย” เหตุผลคือสมมติอเมริกาขายที่ดินได้ตารางวาละ ๕๐ ล้าน ประเทศไทยสามารถเอาดินแค่หยิบมือเดียวมาทำพระเครื่องขายได้ ๕๐ ล้านเหมือนกันฯ ท่านปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์...ชื่อนี้เป็นสมณศักดิ์ที่แน่นอนไม่เปลี่ยนอีก เพราะท่านมรณภาพไปแล้ว!)กล่าวว่า “เราไม่จำเป็นต้องมาทำพิธีปลุกเสกพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าหรอก เพราะท่านตื่นตั้งนานแล้ว มีแต่พวกเรา(คือพี่โล้น)และญาติโยมนั่นแหละที่โง่ ยังไม่ยอมตื่นจากความงมงายสักที เรามาช่วยกันปลุกพวกเราเองเถิด” หลายครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นคนแขวนพระเครื่อง บางคนถึงกับสะพายเป็นพวง เราลองนึกภาพดูง่ายๆว่าระหว่างเราเห็นคนพกพระเครื่องกับคนพกหนังสือธรรมะเช่นพุทธธรรมเป็นต้น อย่างไหนน่าจะสะท้อนถึงความเป็นชาวพุทธหรือสร้างความประทับใจแก่ผู้ที่พบเห็นได้มากกว่า? ใคร่ขอเสนอว่าหากต้องการจะห้อยแต่พระโดยไม่สนใจธรรมะ กระผมว่าเราเข้าห้องไปนมาซกับเพื่อนมุสลิมวันละ ๕ ครั้งคือไปสวดมนต์นึกถึงพระพุทธเจ้ายังมีประโยชน์กว่ามากหากเทียบกับการเอาพระไปเลี่ยมทอง แขวนคอเพียงเพื่อให้เกิดการเสียดสีสร้างอารมณ์ต่างๆนาๆโดยเฉพาะสตรี หากวันหนึ่งเกิดโชคร้ายขึ้นมา สร้อยขาด พระท่านก็ตกไปในระหว่างหุบเขานั้น หากท่านมีชีวิตจริงคงอวกแตกน่าดูฯ ขอจบด้วยพุทธภาษิตอันหนึ่งที่เป็นดั่งความประสงค์ของพระพุทธเจ้าให้พุทธบริษัทของพระองค์แสวงหาทั้งเวลาที่พระองค์ยังอยู่และจากไปแล้ว
     ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุ(รวมถึงฆราวาสด้วย)เป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ดูกรอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล. ดูกรอานนท์ ก็ผู้ใดผู้หนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในเวลาที่เราล่วงไปแล้วก็ดี จักเป็น ผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ภิกษุเหล่านั้นจักเป็นผู้เลิศ(พ้นทุกข์ได้).[22]


[1] อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยศาสนาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล (ที่รู้จักเพราะท่านเป็นอาจารย์สอนกระผมเอง...แม้ท่านจะ(ทำเป็น)จำไม่ได้หรือไม่ยอมรับกระผมเป็นศิษย์ก็ตามที)
[2] เป็นลักษณะของอนัตตา เช่นถ้าเราบอกว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริง ทำไมเราจึงปฏิเสธการ แก่ เจ็บ ตายไม่ได้เล่า?
[3] Page 9. To him there was a queen, named Maya, as if free from all deceits (maya)  (ซึ่งกระผมได้ทราบทีหลังว่าท่านอาจเอาความคิดมาจากหนังสือเล่ม The Life of the Buddha หรือ Buddha-Carita ที่เขียนโดยท่าน อัศวโฆษ (Asvakosa)แปลโดย Edward B. Cowell เมื่อได้มาอ่านพบเอาเอง แต่นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานเพราะบางทีท่านอาจจะคิดอย่างนี้ได้เองโดยไม่ได้ถูกหล่อหลอมมาจากกหนังสือเล่มนี้ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามคงไม่ถึงขั้นอัศวโฆษกลับชาติมาเกิด)
[4] เป็นการตรัสตอบพระเจ้าพิมพิสารตอนหนึ่งว่า “ราชะ! ชนบทตรงข้างภูเข้าหิมพานต์ สมบูรณ์ด้วยความเพียรเครื่องหาทรัพย์ เป็นเมืองขึ้นแห่งโกศล มีพวกชื่อ อาทิตย์โดยโคตร ชื่อ ศากยะโดยชาติ อาตมาภาพออกบวชจากตระกูลนั้น จะปรารถนากามก็หามิได้” (ปัพพัชชาสูตร มหาวัคค์ สุตตนิบาต ขุททกนิกาย ๒๕/๔๐๗/๓๕๔) ความจริงในประเทศเนปาลนามสกุล “ศากยะ” ก็ยังมีปรากฎอยู่มากมายจนปัจจุบัน เช่นพระ ดร.อนิล ศากยะ สามเณรอุชชวัณ/กบิล ศากยะ..ซึ่งขณะนี้ทุกคนอยู่เมืองไทยฯ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตระกูลเดียวกับพระพุทธเจ้า(ที่ครั้งหนึ่งตระกูลนี้เคยถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาแล้ว..ดูเพิ่มเติมเรื่องพระเจ้าวิฑูทภะ..และขอแสดงความยินดีกับครอบครัว/บรรพบุรุษท่านเหล่านี้ด้วยที่ฝ่าวงล้อมรอดตัวมาได้ เสมือนเป็นหลักฐานด้านบุคคลชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลือพอจะยืนยันการมีอยู่จริงของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจนอันหนึ่งฯ...ที่ยกมาทั้ง ๓ คนนั้นหน้าตาดีหมดเลย(กรณีที่เปรียบเทียบกันเอง) จึงเป็นได้ที่พระพุทธเจ้าเองก็น่าจะงดงามหล่อเหลาเป็นแท้)
[5] ความจริงชมพูทวีปสมัยพุทธกาลมิได้หมายถึงประเทศอินเดียเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศเพื่อบ้าน เช่น เนปาล ปากีสถาน บังกลาเทศฯลฯ ชมพูทวีปหมายถึงทวีปหรือประเทศใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นหว้า (ชมฺพุ-บาลี แปลว่า ไม้หว้า) หนังสือบางเล่มแปลตามตัวเป็นสำเนียงไทยเลยว่า ไม้ชมพู่?
[6] ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
[7] ผู้ใดประสงค์จะอ่านความไร้สาระเหล่านั้นสามารถอ่านดูได้จากบล็อกทั่วไปโดยพิมพ์คำว่า “พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย” ที่น่าสนใจเป็นพิเศษเช่น “พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย"...ยืนยันโดยองค์หลวงปู่มั่นhttp://www.buddhapoem.com/index.php?lay=boardshow &ac=webboard_show&Category=buddhapoemcom&thispage=1&No=69145 และ พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) http://board.palungjit.com/ (วันที่เข้าชมเว็บ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ คำเตือน..ที่แนะนำให้อ่านเพื่อจะได้เห็นความไร้สาระและไม่มีตรรกะ ไม่ใช่ให้เชื่อ!)
[8] พระวินัยปิฏก จุลวรรค ข้อ ๑๘๐ (เมฏฺโกกุฏฺา นาม ภิกฺขู เทฺว ภาติกา โหนฺติ พฺราหฺมณชาติกา....อนุชานามิ  ภิกฺขเว สกาย นิรุตฺติยา พุทฺธวจนํ ปริยาปุณิตุนฺติ ฯ)
[9] โพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ข้อ ๔๙๑ (โส โข อหํ ราชกุมาร กึกุสลคเวสี...รมณียํ สมนฺตา จ โคจรคามํฯ)
[10] สุขุมาลสูตร เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย ข้อ ๔๗๘ (ตสฺส มยฺหํ ภิกฺขเว ตโย ปาสาทา...น เหฏฺฐาปาสาทํ โอโรหามิ ฯ)
[11] พระสูตรเดียวกัน (ตสฺส  มยฺหํ ภิกฺขเว เอวรูปาย...อตฺตานํ เยว อติสิตฺวา อหํปิ โขมฺหิ ชราธมฺโม ชรํ  อนตีโต)
[12] ดูเนื้อหาเพิ่มเติม พุทธประวัติมหายาน (พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่) โดย เสฐียร พันธรังษี หน้า ๓๖-๔๘
[13] พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย? พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์ ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก/ราชบัณฑิต http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3h PVEUxTVRJMU1nPT0= (วันที่เข้าชมเว็บ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่ขีดเส้นใต้เป็นการเน้นข้อความที่สำคัญโดยกระผมเอง)
[14] กัณฐกะวิมาน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ข้อ ๘๑ (อหํ กปิลวตฺถุสฺมึ สากิยานํ ปุรุตฺตเม...ตสฺเสว อานุภาเวน วิมานํ อาวสามิทํ) เป็นคำพูดที่เทพบุตรกล่าวตอบท่านมหาโมคคัลลานะเรื่องสาเหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทพบุตร
[15] ให้สังเกตว่าชาวอารยันสมัยนั้นมีความสามารถระดับหนึ่งที่จะพิจารณาเห็นธรรมชาติพื้นฐานของชีวิตว่ามีความทุกข์ เติมไม่รู้จักเต็ม ต้องประสบกับความอยาก ความเจ็บป่วย และความตายเป็นต้นอย่างหลีกหนีไม่ได้ฯ ณ ดินแดนแห่งนั้นจึงเต็มไปด้วยนักบวชผู้หวังจะปลดปล่อยตนสู่อิสรภาพ
[16] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๒๒๐ จูฬทุกขักขันธสูตร เอวํ วุตฺเต อหํ มหานาม เต นิคนฺเถ เอตทโวจํ...สพฺพํ ทุกฺขํ นิชฺชิณฺณํ ภวิสฺสตีติฯ โน หิทํ อาวุโสติฯ
[17] มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ข้อ ๕๐๓ เสยฺยถาปิ นาม อสีติกปพฺพานิ วา กาลปพฺพานิ วา เอวเมวสฺสุ...โลมานิ กายสฺมา ปปตนฺติ ตาเยวปฺปาหารตายฯ

[18] ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๓๐๐  โย หิ โกจิ ภิกฺขเว อิเม จตฺตาโร สติปฏฺาเน...สตฺตาหํ  ตสฺส ทฺวินฺนํ ผลานํ อฺตรํ ผลํ ปาฏิกงฺขํ ทิฏฺเ ว ธมฺเม อฺา สติ วา อุปาทิเสเส อนาคามิตา ฯ
[19] อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต อภัพพสูตร ข้อ ๗๖ ตโย เม ภิกฺขเว ธมฺมา โลเก น สํวิชฺเชยฺยุ™...วิจิกิจฺฉํ  อปฺปหาย สีลพฺพตฺตปรามาสํ อปฺปหาย..
[20] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๓๒๖ อทฺทสํสุ โข มํ ภิกฺขเว ปฺจวคฺคิยา ภิกฺขู...ทิฏฺเว ธมฺเม สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถาติ ฯ
[21] ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ข้อ ๑๑๒  พุทฺธรูปรตึ ตฺวา ตทา โอวทิ มํ ชิโน...ปสฺสํ สพฺพกิเลสานํสุเขนนฺตํ คมิสฺสสิ ฯ
[22] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๗๑๒-๗๑๓ เย หิ เกจิ อานนฺท เอตรหิ วา มมจฺจเย วา อตฺตทีปา วิหริสฺสนฺติ...ภิกฺขู ภวิสฺสนฺติ เย เกจิ สิกฺขากามาติฯ