วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ชาวพุทธปลอม

ชาวพุทธปลอม....

ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวาน หลังซื้อตั๋วรถและต้องยืนรอเนื่องจากไม่มีที่นั่งว่างเลย หลายคนที่นั่งกันอยู่ก็ไม่ลุกให้พระนั่ง จนเวลาผ่านไปราว 5 นาที ผู้หญิงคนหนึ่งก็ยกเก้าอี้มาให้ .... อาจเป็นเพราะรอดูความเสียสละของคนอื่น หรือ ตนเองกลัวจะถูกมองว่าพวกทำดีเอาหน้า ฯลฯ เลยต้องใช้เวลาตัดสินใจนานหน่อย ซึ่งอาตมาก็รับเพราะไม่อยากปฏิเสธแก

จริงๆแล้ว อาตมาไม่เคยมองว่าคนที่ไม่ยกเก้าอี้มาให้พระนั่งเป็นคนพุทธปลอม ไม่มีศีลธรรม หรือคนที่ยกมาให้เป็นพุทธแท้หรอกครับ เนื่องจากปัจจัยที่ควรเอามาวัดกันน่าจะมีมากกว่านั้น และส่วนตัวแล้ว แม้ตนเป็นพระก็ไม่เคยเรียกร้องให้ตนเองได้รับสิทธิพิเศษหรือถูกปฏิบัติแบบอภิสิทธิชนแต่อย่างใด คนอื่นต้องต่อคิวเพื่อรับบริการ ฉันก็รอได้ คนอื่นที่มาหลังต้องยืน ฉันก็ยืนได้ ไม่เห็นต้องเป็นคนเหนือคนอื่นตรงไหน (ซึ่งการเป็นพระน่าจะเกิดจากสำนึกและการปฏิบัติตามธรรมวินัยของเราเองมากกว่า ไม่ใช่การต้องให้คนอื่นปฏิบัติดีต่อเรา กราบไหว้เราแล้วจึงจะรู้สึกว่าตนเป็นพระ)

จากการมีโอกาสสอนคนมาเป็น 10 ปี เนื่องจากไม่ได้สอนให้คนเชื่อ และไม่เคยหยิบยกประเด็นอ่อนไหวทางจิตใจมาเป็นตัวนำทาง เช่น ช่วยกันเชิดชูพระคุณแม่ พ่อแม่ทุกคนเป็นคนสุดประเสริฐ คำพูดของท่านทุกคำล้วนมีคุณค่าฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นความจริง (บางครั้งจับผิดได้ทุกประโยคเลย) พ่อแม่ไม่ได้ดีทุกคน คำพูดบางคำออกมาด้วยความเกลียดชังคนอื่น อิจฉาริษยา พฤติกรรมการแต่งตัวหลายครั้งก็เป็นไปในทางยั่วยวนกามารมณ์แม้จะแก่จนมีลูกแล้วฯลฯ

“การมาสะเทือนใจกับพระคุณเหล่านี้จึงไม่ได้เกิดจากปัญญาที่แยกแยะเห็นความจริง เป็นแต่เพียงการพูดโน้มน้าวใจให้คนเห็นตามตนเอง เขาไม่ได้เห็นความจริงด้วยปัญญา แต่เห็นตามที่เราพูดให้เชื่อ แม่เล่นการพนัน แต่เราบอกว่าแม่เป็นคนสุดประเสริฐ เขาก็เชื่อ..เหมือนคนถูกสะกดจิต เมื่อเขาร้องไห้ ก็ถือว่าตนประสบความสำเร็จ”... อาตมาไม่ได้บอกว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนเป็นคนดีเลยนะ แต่ต้องชี้แจงให้เด็กเห็นความจริง ซึ่งต่อให้พ่อแม่เขาชั่ว เราจะสอนเด็กอย่างไรให้เขายังรักพ่อแม่ ดูแลพ่อแม่และพยายามหาวิธีการให้ท่านกลับมาเป็นคนดีได้ นี่เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวมากกว่าการมานั่งหาคำพูดสวยๆเพื่อประโลมโลก

การเข้าไปสอนในโรงเรียนซึ่งมีเด็กประมาณ 100 คน (2 ห้อง) ปรากฎว่า มีเด็กประมาณ 3 คนเท่านั้นที่สามารถพัฒนาระบบความคิด ยึดโยงเรื่องเหตุผลเป็นต้นขึ้นมาได้ วัดผลจากการที่เราซักคำถามให้เขาตอบ และคำตอบที่ไม่วางอยู่บนความเชื่อ ความงมงาย ... เขาสามารถคิดหาคำตอบให้แก่ตนเองในเรื่องอื่นๆได้อีกด้วย นี่จึงเป็นการพัฒนาคนเพื่อให้เขาพึ่งตนเองได้จริงๆ ซึ่งเด็กจำนวนน้อยนี้ ส่วนใหญ่กลับมีมารยาทที่ไม่ดีนัก (หากวัดตามมารยาทไทย) ใช้คำพูด(สรรพนามฯลฯ)ไม่เป็น ชอบถามแบบไม่รีรอ ไม่เกรงใจ เกรงกลัวต่อระบบศรัทธา และดูผิวเผินเหมือนคนไม่มีศาสนา (แต่สุดท้าย การช่วยให้เขาคิด แยกแยะ......เขาก็ข้ามพ้นความงมงายไปได้)

ในทางตรงกันข้าม คนที่เคารพพระอย่างมาก มีมารยาทดีมาก หลายคนกราบเท้าเราเลยเพราะเห็นว่าเราสอนให้เขารู้จักศาสนา ความจริง หรือบางคนก็ทึ่งกับความสามารถเรา แต่สิ่งพบคือ คนเหล่านี้ยังมีความเชื่องมงาย ดูเหมือนเขาเข้าใจเหตุผลที่เราอธิบายแล้วแต่จริงๆก็ไม่ หลายคนเถียงกับเราจนตัวเองไม่มีเหตุผลมาอ้างแล้ว ความงมงายทุกอย่างถูกกำจัดไปในบทสนทนาแล้ว ยอมยุติการพูดเพราะเห็นว่าเราชี้แจงได้ชัดเจนแล้ว แต่สุดท้ายก็พร้อมจะเชื่อในสิ่งที่ ตนเคยทำมาเหมือนเดิม (คราวหน้าถกกันก็พูดเรื่องเดิม เหตุผลเดิม.....เสียเวลาว่ะ ความจำเอ็งเสื่อมหรือไงว่ะ อิอิ) การมากราบเท้า ยกมือไหว้ บริจาคเงินมากๆ หรือมีพฤติกรรมอย่างอื่นที่เชื่อกันว่าเป็นพุทธแท้ของคนเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราต้องการสอนให้เขาคิดเป็น พึ่งตนเองได้

สรุปคือ อาตมาไม่ขอสรุปว่า ไม่รู้ว่าเราควรมองชาวพุทธแบบไหนว่าแท้ หรือ ปลอม ใช้อะไรเป็นเครื่องมือวัดกันแน่ และสิ่งที่ควรคิดต่อคือ.. เราควรส่งเสริมให้คนพุทธเป็นอย่างไร ด้วยวิธีการใดกันแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น