วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

จดหมายถึง พระคุณเจ้าทุกรูปที่ชอบขอเงินจากญาติโยม

จดหมายถึง.....พระคุณเจ้าทุกรูปที่ชอบขอเงินจากญาติโยม

กระผมขอเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความรู้สึกสะเทือนในและอับอายแทนในฐานะพระภิกษุรูปหนึ่งนะครับ เนื่องจากเห็นหลายวัด หลายท่านชอบใช้วิธีหาเงินในหลายรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงชาวบ้านผู้ได้รับใบบอกบุญจากท่านไปว่า “เขาจำต้องให้เพราะความคุ้นเคย ขัดไม่ได้” ทั้งที่เขาเองก็เดือดร้อน เงินในครอบครัวแทบหมุนไม่ทัน

กระผมไม่ใช่รังเกียจเงินนะครับ ส่วนตัวอยากได้เงินมาก อยากทอดผ้าป่าสัก 2557 กอง กองละ 2557 บาท อิอิ เพื่อตั้งเป็นทุนการศึกษาตัวเองโดยเฉพาะ ให้ดีได้สัก 10-20 ล้านด้วยซ้ำจะได้ไปหาที่เรียนดีๆมีคุณภาพในต่างประเทศ .... นี่เป็นเจตจำนงจริงๆ ไม่ได้เอาไปเพื่อจุดประสงค์อื่นเช่นซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัยอวดชาวบ้านเป็นต้น (ปัจจุบันยังใช้โน๊ตบุคเอเซอร์รุ่นแรก ที่จอดับไปแล้ว ต้องเอาจอคอมฯเก่ามาเสียบช่องฉายโปรเจคเตอร์..ประกาศความจน อิอิ) กระผมว่า เหตุผลเรื่องการเรียนนี้ยังดูดีกว่าทุกเหตุผลที่พวกท่านชอบยกมาอ้าง เช่น สร้างโบสถ์ หรืออาคารปฏิบัติธรรมราคา 20 ล้าน แต่ไม่มีคนมาปฏิบัติธรรม (รวมทั้งคนสอนเองก็ไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรม)ฯลฯ.........

แต่ที่ยังไม่ลงมือเรี่ยไรญาติโยมในตอนนี้เป็นเพราะ....ละอายใจตัวเอง ครับ (ย้ำๆๆๆๆๆๆๆ) กรณีที่เราบอกว่า หาเงินเพื่อสืบทอดศาสนา...?? สร้างวัตถุมารักษาศาสนา แต่ขณะเดียวกัน เราทำให้คนมีความรู้ระอาใจ ออกจากพุทธศาสนาไปมากต่อมากครับ ท่านลองฟังสัมภาษณ์ชาวมุสลิม อดีตซึ่งเคยเป็นชาวพุทธต้องเปลี่ยนศาสนาสิครับ ว่าเหตุผลอะไรเขาจึงไม่ศรัทธาพวกเราฯลฯ

กระผมสังเกตว่า ปัจจุบันพระเราพยายามเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นเงินหมดแล้ว เราอาจเคยได้ยินคำว่า แปลงทรัพย์สินให้เป็นทุน......แปลง ทักษิณให้เป็นทุน (โดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง).....และ แปลงทรัพย์สินให้เป็นบุญ อันหลังนี่น่ากลัวนะครับ เพราะถ้าใช้ดีก็ดีไป แต่พระหลายท่านก็เอามามอมเมาชาวบ้านว่า

“โยมมีเงินก็ตายเปล่า เอาติดตัวไปไม่ได้ ฉะนั้นวิธีเดียวในการรักษาสมบัติโยมให้ถาวร คือเปลี่ยนเป็นเงินแล้วมาบริจาคอาตมาซะ เพื่อสร้างเป็นบุญ เก็บไปใช้ได้ทุกภพทุกชาติ”...อิอิอิ (ไม่อายบ้างหรอครับ)

เราไม่เพียงแต่สอนเพื่อให้เขาเอาเงินมาให้ แต่เรายอมรับไหมละครับว่า ประเพณีต่างๆที่ยังสืบทอดกันอยู่ก็เพราะ....เราต้องการเงิน

กฐิน...ก็เพื่อต้องการเงิน โดยใช้จีวรเป็นเครื่องมือ
แห่เรือพระ....ก็เพื่อเงิน
หล่อ...แห่...ถวาย...เทียนพรรษา เพื่อ “เงิน” เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทียน เพราะทุกคนรู้ว่าปัจจุบันมีไฟฟ้าใช้ วัดไม่ได้ใช้เทียนเลย (เว้นกรณีวัดกันดารมาก..ซึ่งก็ควรเอาไปถวายตลอดไม่ใช่เฉพาะช่วงพรรษา) หรือวัดที่ใช้ก็จุดทิ้ง เพื่อให้คนสบายใจว่าสิ่งที่เขาถวายมามีคนใช้.... เทียนจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหาเงินช่วงเข้าพรรษาอีก (ท่านอาจอธิบายว่า เพื่อความสามัคคี...ต้องถามว่า สามัคคีเพื่อ? ไฉนท่านไม่จัดบรรยายธรรมแล้วให้แต่ละองค์กรมาฟังเพื่อความสามัคคีละครับ? คนจะได้ฉลาดขึ้นด้วย)

แท้จริงแล้ว เราไม่เคยเห็นคุณค่าที่แท้จริงของวัฒนธรรมหรอกครับ เพราะหากคิดจะสืบสานวัฒนธรรมจริง น่าจะมีการมาขบคิดกันว่า จะสืบสานวัฒนธรรมอย่างไรให้สร้างสรรค์และเกิดประโยชน์แก่สังคมมากที่สุดฯลฯ

พระเรามีความโชคดีอยู่อย่างหนึ่งครับ คือพูดอะไรแล้วโยมเขาเชื่อ ต่อให้ไม่เชื่อเขาก็ไม่เถียง เหตุผลเพราะเขากลัวบาป เขาเชื่อในเจตนาของเราว่าต้องดีแน่ๆ กระผมก็เชื่อนะครับว่าหลายท่านที่ออกปากขอเงินชาวบ้านก็มีเจตนาดี แต่ท่านลืมนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งท่านควรใช้เวลาทบทวนเรื่องนี้ให้ มากเหมือนกันครับ อย่างแรก...การออกปากขอโยม (ต่อให้มาในรูปกระดาษ) ก็เป็นอาบัติครับ หากโยมไม่ปวาราณาไว้ว่า “ท่านอยากได้อะไรบอกโยมนะ เดี๋ยวโยมจัดให้” อิอิ ซึ่งคนปวารณามีน้อยคับ

สมเด็จสังฆราชท่านตรัสว่า พระควรอยู่ให้พอดี เหมาะสม คนที่ทำหน้าที่ตัวเองดีแล้ว สำรวมในศีล สอนธรรมะที่ถูกต้องกับชาวบ้าน ไม่ต้องแสดงฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์ คนก็เอาของมาดูแลเลี้ยงดู ไม่อดตายแน่ครับ ส่วนคนที่มันไม่ดีจริง ต้องดิ้นรนหาโน่น หานี่ ประกอบฤทธิ์เดชให้คนเห็น อันนี้มันแย่และส่งผลเสียต่อพุทธศาสนาในวงกว้างด้วย

กระผมว่า หากเรายังคิดว่า ไม่เป็นไร แจกซองผ้าป่าไป ค่าซอง 5 บาทเอง แต่ผู้ที่ทำบุญมาเยอะกว่า อย่างไรก็ได้กำไรแน่ๆ.....หรือแจ้งบุญไปยังผู้มีจิตศรัทธา ใครไม่ศรัทธาไม่ไม่ต้องทำ ไม่ได้ว่าอะไร นิ่งเฉยไว้ (แต่แจกให้กับทุกคน) แนวคิดแบบนี้ไม่ควรมีอยู่ในตัวพระครับ

ท่านพุทธทาส อธิบายเรื่อง วิหิงสา หรือการเบียดเบียนว่า การเบียดเบียนนี้ต่างจากโทสะหรือประทุษร้าย เพราะโทสะ เราทำด้วยเจตนา แต่วิหึงสา เราทำเพราะไม่จงใจ ลืมมองผลลัพธ์ไป

อกุศลมูล *.........* อกุศลวิตก
โลภะ (โลภ) *.........* กามวิตก
โทสะ (โกรธ) *..........* พยาบาทวิตก
โมหะ (หลง) *........* วิหึงสาวิตก

อันนี้เพื่อต้องการสรุปว่า การเบียดเบียน สามารถทำได้เพียงเพราะเราหลง หรือโง่เขลา การบอกบุญคนอื่น ที่ถือเป็นการบังคับให้เขาต้องทำ (ต่อให้เราไม่มีเจตนาเช่นนั้นก็ตาม) แต่เพราะลืมนึกไปว่า คนที่ได้ซองไปแล้วเขาไม่กล้าปฏิเสธ และจำต้องบริจาคเงินที่เขามีอยู่น้อยแล้ว หรือต่อให้มีเยอะ แต่หากเขาเห็นว่ากิจกรรมนั้นไม่เป็น ประโยชน์ ไม่มีความปรารถนาจะส่งเสริม แต่ก็ต้องจำใจทำ .... ซึ่งก็มาเข้ากับดักเราอีก เขาไม่จงใจทำ เลยทำน้อยแค่ 100 เดียว แต่ซองที่เราแจกไป ราคา 5 บาทเองครับ อิอิ

สรุปคือ อยากให้พวกเราคิดอะไรให้มากกว่าเดิมก่อนจะออกปากขออะไรใคร ถ้าอยากให้โยมเขามีโอกาสทำบุญ เราอาจมารวมตัวกันเพื่อตกลงกันให้ได้ก่อนว่า “อะไรกันแน่คือบุญ ต้องทำที่ไหน ทำกับใคร ทำอย่างไร เมื่อไหร เป็นต้น”

และสิ่งที่พระเราต้องทำมากกว่าคือ การเตรียมตัวเองให้พร้อม ทั้งด้านการศึกษาพระธรรมวินัย และการปฏิบัติ กรณีไม่ได้ทั้งสองอย่างก็เลือกเอา อย่างหนึ่ง เพราะทราบกันดีว่า คนอาจเก่งไม่เหมือนกัน เมื่อเราเก่งด้านนั้นแล้ว เดี๋ยวโยมเขาจะเข้ามาหาเราเอง พาเราไปบรรยายธรรม พาเราไปสอนกัมมัฏฐาน มีตึก/อาคารที่รองรับคนได้เป็นพันครับ เราไม่ต้องหาเงินสร้างเองเลย....แต่หากเราหลงมาสร้างวัตถุเอง ทำเท่าไหร่ก็ไม่จบสิ้นครับ ที่สำคัญ เราลืมพัฒนาตัวเองและไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้สังคมได้จริง (อันนี้เราต้องคิดให้หนักนะครับ)

โยมเองก็ได้โปรดอย่ากลัวบาปที่จะปฏิเสธการทำบุญ บุญในพุทธศาสนานอกจากจะเกิดประโยชน์แก่สังคมแล้ว จะต้องเป็นไปเพื่อชำระใจและสร้างเสริมปัญญาด้วย กระผมไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครทำบุญนะครับ เพราะหลายคนเชื่อว่า คนที่ห้ามคนอื่นเป็นมาร....มีแต่ตกนรก อิอิ เพียงแต่อยากขอให้ทุกฝ่ายได้ใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้มากกว่าเดิม กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ละเว้นในสิ่งที่จะนำไปสู่การเบียดเบียนสังคมทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา ทั้งหมดนี้เขียนขึ้นเพราะความช้ำชอกใจเวลาเห็นคนจนต้องบริจาคเงินทำบุญแบบปฏิเสธไม่ได้ครับ

ขอให้ทุกคนโชคดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น