วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

ธรรมกายที่รัก....ฉันต้องขอโทษจริงๆนะที่มองเธอในแง่ลบมาตลอด

ธรรมกายที่รัก....ฉันต้องขอโทษจริงๆนะที่มองเธอในแง่ลบมาตลอด

1. ฉันมองว่าเธอชอบประกอบพิธีใหญ่ๆ หรูหรา เพื่อเอาใจผู้คน หวังให้คนศรัทธากับรูปแบบ จากนั้นก็ขูดรีดให้เขาต้องทำบุญหนักๆด้วยเจตนาของเขาเอง แต่วันนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า วัดบ้านนอกที่อยู่แวดล้อมบ้านฉันก็ไม่ได้ต่างไปจากเธอ ต่างประกอบพิธีกรรมแข่งกันเพื่อเรียกศรัทธาคน และหวังเงินบริจาคจากผู้คน เหตุที่เขายังหาเงินได้น้อยไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการเงิน แต่เขายังมีความสามารถน้อยกว่าเธอ วันหน้าหากวัดเติบโตเจริญขึ้น เขาก็จะเป็นเช่นเดียวกับเธอ ฉะนั้นหากฉันจะกลัวและรังเกียจเธอ ฉันควรหันมาตั้งคำถามกับวัดข้างบ้านฉันด้วยหรือไม่?

2. ฉันเคยมองว่าเธอมัวแต่สร้างภาพ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคนได้จริง แต่เมื่อได้ใกล้ชิดศิษย์ของเธอหลายคน เขาช่างมีอุปนิสัยที่งดงาม น่ารัก ทั้งกิริยาและคำพูด หากนำมาเทียบกับพุทธบริษัทวัดอื่นๆ ฉันว่าเธอช่างมีความสามารถในการอบรมคนจริงๆ แม้พระสงฆ์เองก็มีกิริยาอากัปเรียบร้อย พระของเธอไม่เคยถูกนำไปออกข่าวเรื่องข่มขืนเด็ก แอบหนีเที่ยวตอนกลางคืน เสพยาเสพติดฯลฯ เหมือนวัดอื่น การสร้างภาพของวัดอื่นๆก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอ เดี๋ยวนี้เขาจัดพิธีอะไรกันก็รีบถ่ายภาพแชร์กันจนเกลื่อนโลกออนไลน์ ฉะนั้นหากให้ฉันรังเกียจเธอ ต่อไปฉันคงต้องตั้งคำถามกับวัดข้างบ้านฉันก่อน

3. ทุกคนมองว่าเธอให้ความสำคัญกับเงินเป็นหลัก ฉันเข้าใจว่าเป็นเพราะองค์กรของเธอใหญ่ จำต้องเลี้ยงดูคนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนโครงการใหญ่ๆให้ดำเนินไปได้ ซึ่งพอหันกลับมาดูพระข้างบ้านฉันที่วันๆเอาแต่นั่งด่าเธอเรื่องเงิน ถึงคราววันที่ 22 เมษายน เขาก็ยังรับนิมนต์ไปวัดเธอเพื่อรับเงิน 5,000 บาท (ฉันเองก็เคยไปเอาเงินเธอมาเหมือนกัน อิอิ) ฉะนั้น หากจะว่าเธอโลภ ฉันควรตั้งคำถามกับตัวฉันเองและพระที่ว่าเธอด้วยเหมือนกัน

4. หากพูดเรื่องอวดคุณวิเศษ... สิ่งที่เธอทำบ่อยคือ ทายว่าคนตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ซึ่งขอพูดตามตรงว่า ฉันไม่เชื่อเธอและคิดว่าหลายคนก็เป็นเหมือนกัน แต่ประโยชน์ของเธอก็มีอยู่ตรงที่เธอชี้แจงว่า เพราะอะไรเขาจึงต้องไปเกิดเช่นนั้น สิ่งที่เธอนำมาอธิบายก็เป็นไปตามพระไตรปิฎกหรืออรรถถา ทำให้คนได้คิดหรือตระหนักบ้างเพื่อ เตรียมการสำหรับตัวเอง ส่วนพระข้างบ้านฉัน แท้จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากเธอ ทำตัวเป็นอรหันต์ ขลังศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งเธอไม่เคยทำ) สร้างวัตถุที่เต็มไปด้วยอำนาจคุ้มครองดลบันดาลขึ้นมาขายผู้คน ประกาศว่าตนสามารถล้างเคราะห์กรรม สร้างชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองให้ผู้คน ท่านเหล่านี้ต่อให้ไม่พูดโอ้อวดว่าเป็นอริยบุคคล แต่การสร้างวัตถุวิเศษ ขึ้นมาผ่านพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับยืนยันความวิเศษของเขาไปโดยอัตโนมัติหรือไม่ ซึ่งหากฉันจะด่าเธอว่า ชอบอวดคุณวิเศษ ฉันก็ควรย้อนดูพระข้างบ้านฉันเหมือนกัน

5. ฉันเคยมองว่า เธอส่งเสริมการศึกษา (ปริยัติ) แต่เพียงเปลือกนอก ปั้นพระที่มีความรู้เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้แก่องค์กร แต่ตอนนี้ เธอก็ทำให้ฉันเห็นว่า พระจากสำนักเธอจบการศึกษาบาลีปีละหลายรูป การศึกษาทางโลกก็ไม่น้อย ซึ่งต่อให้เชื่อว่าเขาถูกเธอล้างสมอง ไม่ให้มองเห็นเหตุผล และความเป็นจริงของพุทธศาสนา ก็ไม่ควรยกความผิดนี้ให้กับเธอ แต่ต้องพิจารณาว่า ทำไมหลักสูตรบาลีและนักธรรมไม่สามารถปั้นคนให้เป็นสัมมาทิฏฐิและมีอุดมการณ์ที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาได้ และหากต้องแก้ ก็ต้องแก้ที่ตัวหลักสูตร/หนังสือเรียน แต่อย่างน้อย เธอก็ยังทำงานด้านส่งเสริมการศึกษาได้ดีกว่าวัดข้างบ้านฉันที่หาพระมาปั้นไม่ค่อยได้ หามาแล้วก็ประสบความสำเร็จน้อย สำเร็จแล้วก็สึกออกไปทำงานทางโลก หรือต่อให้ไม่สึกก็ไม่ได้ใช้ธรรมะที่เรียนมาสั่งสอนผู้คนเลย เมื่อเธอทำงานได้ดีกว่าคนอื่นๆ ทำไมฉันจะต้องด่าเธออีกล่ะ?

6. ฉันเคยมองว่า การทำสมาธิในรูปแบบของเธอเป็นสมถะ มัวแต่ให้คนนั่งเพ่งดวงแก้ว ระลึกอยู่ที่ศูนย์กลางกาย แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สมถะไม่ดี เพราะมันสามารถใช้เป็นฐานขึ้นสู่วิปัสสนาได้ หากเทียบจิตใจที่ฟุ้งซ่านกับจิตสงบที่ผ่านการฝึกบ้าง อย่างไรเสียจิตสงบย่อมดีกว่าเสมอ เธอฝึกคนให้รู้จักแบ่งปันให้ทาน รักษาศีล และทำภาวนาในเบื้องต้น คนที่ฉลาดย่อมต้องหาทางต่อยอดการภาวนาของตนเองได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับวัดข้างบ้านฉัน ไม่ได้ให้ความรู้เหมือนกับเธอ ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่มีความรู้เอง จะพูดเรื่องการให้ทานแบบลงรายละเอียดก็ไม่ได้ ทำให้ชาวบ้านมีศีลก็ไม่ได้ ส่วนภาวนา ก็มีทั้งพุทโธ จับลมหายใจแบบไม่ต้องบริกรรม หรือพองหนอ-ยุบหนอ...ซึ่งฉันเข้าใจว่า หากไม่ให้ความรู้เรื่องภาวนากันแบบสมบูรณ์ สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปทำกันอยู่ก็คงเป็นสมถะไม่ต่างจากเธอแน่

ปัจจุบันมีคนด่าเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ตัดต่อภาพที่น่าเกลียดเพื่อโจมตีเธอ หลายคนเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นโครงการของ เธอ เช่น อบรมจริยธรรม มารยาท บวชพระสงฆ์ หรือปฏิบัติธรรม เขาก็รีบปฏิเสธกันทันที ซึ่งฉันเห็นว่า เขามีอคติกับเธอแบบสุดขั้วจนลืมตั้งคำถามกับพระสงฆ์คณะอื่นๆไปเสีย เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่คนบ้านเรา รวมทั้งฉันเอง ไม่ได้ถูกสอนให้รู้จักคิดแยกแยะเหตุผลแบบไม่ต้องขึ้นกับบุคคลหรือสำนักได้ เราเห็นอันหนึ่งผิด เราก็จงเกลียดจงชังมันและรีบไปมองว่า สิ่งอื่นที่ไม่ใช่อันนั้นถูกหมด แต่ฉันก็เห็นว่าเธอเลือกแก้ปัญหาในทางที่ถูกต้องแล้ว คือใช้ความสงบเข้าว่า ใครว่าอย่างไรก็ปล่อยไป เธอก็มุ่งทำงานของเธอต่อไป วิธีนี้เองที่จะทำให้เธอขับเคลื่อนงานไปได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ สุดท้าย ฉันขอเป็นกำลังใจให้เธอนะ.....ธรรมกายที่รัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น